• กลายเป็นข่าวสุดช็อกไปทั่วโลก เมื่อจู่ๆนางซารา ดูเตร์เต ลูกสาวของอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต ของฟิลิปปินส์ ซึ่งปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ได้ออกมาปูดแผนการของตัวเอง ว่าจะจ้างมือปืนไปลอบสังหารประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ หรือบองบอง หากว่าตัวเธอมีอันเป็นไปจากน้ำมือของศัตรูที่อยู่รายล้อมในรัฐสภา ซึ่งเธอเชื่อว่าบองบอง มาร์กอส จะชิงสั่งลอบสังหารเธอก่อน ทำให้เธอต้องเตรียมแผนล้างแค้นเอาไว้
  • ข่าวที่ปรากฏออกมาทำให้หลายฝ่ายหวนนึกถึงบรรยากาศความรุนแรงทางการเมืองในอดีตของฟิลิปปินส์ ที่เคยเอากันถึงตายมาแล้วหลายครั้ง แม้จะมาถึงการเมืองของคนรุ่นลูก ทุกอย่างกลับย้อนมาเป็นวังวน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นระหว่างประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ ซึ่งทั้งคู่มาจากตระกูลที่มีบารมีทางการเมืองได้ปะทุขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อจู่ๆรองประธานาธิบดีซารา ดูเตอร์เต วัย 46 ปี ได้กล่าวว่า บิดาผู้เป็นเผด็จการของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารนักการเมืองเมื่อช่วงทศวรรษ 1980

เรียกได้ว่าเธอเป็นผู้จุดชนวนให้เกิดความร้าวฉานครั้งล่าสุดระหว่างสองตระกูล หลังจากโกรธแค้นที่หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเธอ ถูกควบคุมตัวไว้ในระหว่างการสอบสวนของรัฐสภา เกี่ยวกับการใช้เงินงบประมาณในทางที่ผิดในกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งตอนนั้นเธอควบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการอยู่จนถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา 

ทำให้เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเธอถึงกับฉุนขาด ออกมาเปิดเผยว่าตัวเองกำลังจะเป็นเหยื่อแผนลอบสังหาร ของใครบางคน และหากจู่ๆเธอเสียชีวิตลงโดยไม่ทราบสาเหตุ เธอได้ติดต่อใครบางคน เอาไว้แล้ว เพื่อให้ช่วยล้างแค้น สังหารประธานาธิบดีมาร์กอส และลิซา อาราเนตา ภรรยาของเขาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีนายมาร์ติน โรมูอัลเดซ ลูกพี่ลูกน้องของประธานาธิบดีมาร์กอส ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่กำลังมีการสอบสวนคดีการใช้งบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการอยู่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ายังไม่มีหลักฐานใดๆว่าเธอได้ทำเรื่องๆจริงตามแผน

...

การหวนคืนของตระกูลมาร์กอส

ย้อนไปในอดีต ช่วงปี 1972 ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส บิดาของบองบอง ได้ประกาศกฎอัยการศึกในปี 1972 เสรีภาพพลเมืองและเสรีภาพของสื่อถูกจำกัด และฝ่ายตรงข้ามที่ถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์ ทั้งถูกจำคุกและทรมาน

ชาวฟิลิปปินส์หลายหมื่นคนไปยื่นคำร้องเรียกร้องค่าชดเชย ภายใต้กฎหมายที่ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่เหยื่อของการละเมิดสิทธิมนุษยชนในช่วงเวลานั้น

ช่วงเวลาอันวุ่นวายยังคงดำเนินต่อไปจนถึงช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อมีการลอบสังหารนายเบนิกโน อากีโน จูเนียร์ นักวิจารณ์การเมืองที่เคยถูกจำคุกและลี้ภัยมาก่อน เขาถูกสังหารเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเดินทางกลับประเทศ ต่อมาบุคคลสำคัญทางทหารถูกนำตัวขึ้นศาลในข้อหาสังหารนายอากีโน แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าเชื่อมโยงกับมาร์กอส ซีเนียร์หรือไม่

หลังการเสียชีวิตของอากีโน ประชาชนต่างลุกฮือช่วยกันขับไล่ มาร์กอสผู้พ่อออกนอกประเทศในปี 1986 และเขาเสียชีวิตขณะลี้ภัยที่ฮาวาย ในช่วง 3 ปีต่อมา

โดยช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีความพยายามนำทรัพย์สินและสินทรัพย์ที่ครอบครัวมาร์กอสสะสมไว้ซึ่งถือเป็นของที่ผิดกฎหมายกลับคืนมา รวมถึงเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากบัญชีธนาคารของสวิส

ขณะที่นางอีเมลดา มาร์กอส วัย 95 ปี ซึ่งขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ เป็นคนมีชื่อเสียงจากการสะสมของฟุ่มเฟือยในฐานะภริยาของประธานาธิบดี รวมทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า และภาพวาด

บองบอง มาร์กอส เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด แม้ว่าครอบครัวของเขาจะถูกตราหน้าว่าปล้นแผ่นดิน แต่เขาก็สามารถกลับมาเข้าสู่แวดวงการเมืองได้อีกครั้งทั้ง ในระดับจังหวัด และระดับรัฐบาลกลาง หลังจากคอราซอน อากีโน ประธานาธิบดีในขณะนั้น ซึ่งเป็นภริยาของเบนิกโน อากีโน จูเนียร์ อนุญาตให้ครอบครัวมาร์กอสกลับมาในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เพื่อเผชิญกับผลที่ตามมาทางอาญา แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้นำไปสู่การลงโทษที่รุนแรง

มาร์กอส จูเนียร์ เคยลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของโรดริโก ดูเตอร์เตในปี 2016 แต่แพ้การเลือกตั้งครั้งนั้น นอกจากลูกพี่ลูกน้องที่เป็นประธานสภาแล้ว อิมี มาร์กอส น้องสาวของเขาก็ยังเป็นวุฒิสมาชิกอยู่ในปัจจุบัน

ในระหว่างที่ลี้ภัยอยู่ที่ฮาวาย มาร์กอส จูเนียร์ กล่าวถึงช่วงเวลารุ่งโรจน์ในอำนาจของบิดาของเขาในสุนทรพจน์ว่าเป็น ระบอบอำนาจนิยมอันมีเมตตา และเขาไม่เคยขอโทษสักครั้ง สำหรับเหตุการณ์นองเลือด ในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 

ร่วมมือกันชนะเลือกตั้ง

นางซารา ดูเตร์เต้ เป็นคุณแม่ลูกสาม และเป็นทนายความที่มีประสบการณ์ยาวนานเช่นเดียวกับบิดาของเธอ ในขณะที่ตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองดาเวา เป็นตำแหน่งที่ครอบครัวดูเตร์เตดำรงตำแหน่งมาเป็นเวลา 35 ปีแล้ว

โดยซารา ดูเตร์เต เข้ารับตำแหน่งนี้สืบต่อจากบิดาของเธอ เป็นครั้งแรกในปี 2010 และปัจจุบันพอมาเล่นการเมืองระดับประเทศ ก็ให้เซบาสเตียน พี่ชายของเธอดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีดาเวาแทน

โรดริโก ดูเตร์เต ถูกรัฐบาลตะวันตกและกลุ่มสิทธิมนุษยชนประณามอย่างหนัก กรณีปราบปรามยาเสพติดอย่างเหี้ยมโหด ทั้งในขณะดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีและประธานาธิบดี ส่งผลให้ผู้ต้องสงสัยกว่า 6,000 คนเสียชีวิตจากการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือไอซีซี ส่งผลให้ดูเตร์เตต้องนำพาฟิลิปปินส์ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของไอซีซี 

...

ก่อนหน้านี้มีการคาดเดากันว่า ซารา ดูเตร์เต จะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและสืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดาของเธอ แต่เธอตกลงที่จะลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับ มาร์กอส จูเนียร์ โดยเธอบอกว่าอีมี มาร์กอส เป็นคนชักชวนเธอเข้าไปร่วมความสัมพันธ์สองตระกูล 

บองบอง มาร์กอส และซารา ดูเตร์เต้ คว้าชัยชนะในการแข่งขันในปี 2022 ได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะรู้สึกตกใจก็ตาม 

โดยเรนาโต เรเยส จากเมืองบายัน ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรฝ่ายซ้ายที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นกล่าวว่า สองคนนี้มีวาระทางการเมืองที่เห็นแก่ตัวที่สุด นั่นคือการฟื้นฟูอำนาจของมาร์กอส และการปกป้องประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต ที่กำลังจะพ้นตำแหน่ง

ปมขัดแย้ง "มาร์กอส-ดูเตร์เต"


เมื่อบองบอง มาร์กอส ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ช่วยเหลือครอบครัวดูเตร์เต้ทันที โดยระบุว่าประเทศไม่มีแผนที่จะกลับเข้าร่วมไอซีซี อีกครั้งแน่นอน อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย กลับค่อยๆห่างลง นอกจากข้อกล่าวหาเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการแล้ว บองบอง มาร์กอส ยังกล่าวหานายโรดริโก ดูเตร์เต ว่าเคยแอบไปทำข้อตกลงลับกับจีน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเรื่องดินแดนในทะเลจีนใต้

...

ทางด้านนายโรดริโก ดูเตร์เต กล่าวหาว่าบองบอง มาร์กอส เคยเป็นขี้ยามาก่อน แต่ไม่ได้ระบุหลักฐานใดๆ และต่อมาบองบองกล่าวหาว่า ดูเตร์เต้ ใช้ เฟนทานิล ตามที่แพทย์สั่งหลังจากเกิดอุบัติเหตุ ส่วนเมื่อไม่นานมานี้ ซารา ดูเตร์เต กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ทั้งประเทศเคยต่อสู้กลับเมื่อมาร์กอส ผู้พ่อสังหารเบนิกโน อากีโน โดยเธอไม่ได้นำเสนอหลักฐานใดๆ 

ล่าสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกองทัพฟิลิปปินส์ ได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับประธานาธิบดีอย่างหนาแน่นทันที ทางด้านกระทรวงยุติธรรมแถลงว่า จะเรียกรองประธานาธิบดีดูเตร์เตมาสอบสวน ซึ่งทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า คำกล่าวของนางดูเตร์เต ถือเป็นภัยคุกคามและเป็นปัญหาด้านความมั่นคงของชาติในขณะที่การเลือกตั้งกลางเทอมจะมีขึ้นในปีหน้า.