- หลายฝ่ายต่างตั้งข้อสังเกต ทำไมโจ ไบเดนถึงยกเลิกคำสั่งห้ามยูเครนโจมตีภายในรัสเซียด้วยขีปนาวุธระยะไกลของสหรัฐฯทั้งๆที่เหลือวาระการดำรงตำแหน่งอีกไม่นาน
- แม้ว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จะระบุว่าการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของไบเดน เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการที่ทหารเกาหลีเหนือถูกส่งไปช่วยการสงครามของมอสโกในสงครามกับยูเครน แต่นักวิเคราะห์มองว่า อาจจะมีเหตุผลทางการเมืองแอบแฝงอยู่
นักวิเคราะห์ต่างจับตามองความเคลื่อนไหวล่าสุดของประธานาธิบดี โจ ไบเดนของสหรัฐฯ ที่ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการอนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธระยะไกลของสหรัฐฯ โจมตีเป้าหมายภายในรัสเซียได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลต่อสถานการณ์โลกในเวลานี้ รวมทั้งย่อมส่งผลต่อผู้ที่จะมาทำหน้าที่ผู้นำคนต่อไปของสหรัฐฯนั่นก็คือนายโดนัลด์ ทรัมป์นั่นเอง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญต่างมองว่า นี่เป็นการตัดสินใจที่มีเป้าหมายบางประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการทำให้การทำหน้าที่ประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ยุ่งยากขึ้น
การตัดสินใจของไบเดน ถือเป็นการกลับลำนโยบายหลักของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะส่งมอบตำแหน่งให้กับทรัมป์ในวันที่ 20 มกราคมเพียงสองเดือน
ในตอนนี้รัสเซียกำลังรุกคืบเข้าสู่ยูเครนด้วยความรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022 ทำให้ยูเครนพยายามเรียกร้องให้ยกเลิกข้อจำกัดในการใช้ขีปนาวุธ Army Tactical Missile System (ATACMS) เพื่อหวังจะช่วยปกป้องกองกำลังของตนเองในภูมิภาคคูร์สก์ของรัสเซีย
...
อเล็กซานเดอร์ โคโรเลฟ ผู้ช่วยอาจารย์ด้านการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์กล่าวว่า แรงจูงใจหลักในการเปลี่ยนแปลงความคิดของไบเดนและการเลือกเวลาของการตัดสินใจนี้คือ การทำให้ชีวิตของประธานาธิบดีทรัมป์ในอนาคตยากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นักวิเคราะห์กล่าวว่าไบเดนและพรรคเดโมแครตของเขามั่นใจว่าจะชนะ การเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน แต่รองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส กลับพ่ายแพ้ให้กับทรัมป์ ดังนั้นการตัดสินใจนี้จะเปลี่ยนแปลงกรอบการดำเนินงานของโดนัลด์ ทรัมป์ด้วย โคโรเลฟกล่าวในรายการ Asia First ของแชนแนลนิวส์เอเชียว่า ในระหว่างการหาเสียงและก่อนที่ทรัมป์จะเริ่มหาเสียงอย่างเป็นทางการ เขาเคยประกาศคำพูดที่เกินจริงว่า เขาจะยุติสงครามในยูเครนภายในหนึ่งวันหรือหนึ่งสัปดาห์ก็ยังได้ ดังนั้นการตัดสินใจของไบเดน จะทำให้การเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ของทรัมป์ยากขึ้น เพราะเขาจะต้องหาทางยุติสงครามยูเครนให้ได้ โดยไม่แสดงให้เห็นว่าเขาสนับสนุนรัสเซีย และแม้ว่าทรัมป์อาจจะประกาศเปลี่ยนเรื่องนี้หลังจากเข้ารับตำแหน่งได้ แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้อเมริกาดูไม่ดี ในสายตาของประเทศพันธมิตร โดยเฉพาะในยุโรป
โดยก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้ขู่ว่าจะตัดความช่วยเหลือจากยูเครนมาแล้วหลายครั้ง และในระหว่างการหาเสียง เขายังได้วิจารณ์ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ว่าเป็นเซลล์ขายของที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมชี้ให้เห็นว่าสหรัฐฯได้ให้เงินช่วยเหลือหลายพันล้านดอลลาร์แก่เคียฟ
การตัดสินใจที่มีนัยการเมืองและเชิงสัญลักษณ์
โคโรเลฟระบุว่า การใช้ ATACMS ซึ่งสามารถยิงได้ไกลถึง 300 กิโลเมตร เป็นการตัดสินใจทางการเมืองและเป็นการตัดสินใจเชิงสัญลักษณ์เป็นส่วนใหญ่ เพราะขีปนาวุธนี้จะไม่ทำให้ฉากทัศน์ของสงครามเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยขีปนาวุธเหล่านี้จะไม่สามารถโจมตีศูนย์กลางการเมืองที่สำคัญได้ แต่อาจจะถูกนำไปใช้โจมตีภูมิภาคคูร์สก์และพื้นที่อื่น ๆ ที่ถูกรัสเซียยึดครอง ซึ่งเดิมเคยเป็นพื้นที่ของยูเครน โดยรัฐบาลของนายไบเดน เลือกที่จะชี้แจงต่อสื่อต่างๆว่า การตัดสินใจครั้งนี้ เป็นการตอบโต้ต่อการที่เกาหลีเหนือส่งทหารไปช่วยรัสเซียในสงครามกับยูเครนเพื่ออ้างความชอบธรรม
แกรนต์ นิวแชม นักวิจัยอาวุโสจาก Japan Forum for Strategic Studies กล่าวว่า สถานการณ์ได้แย่ลงถึงจุดที่รัฐบาลใหม่ของทรัมป์จะต้องทำงานหนักมาก โดยรัฐบาลทรัมป์จะเข้าใจถึงความเสี่ยงที่ไม่เพียงแต่สหรัฐฯ แต่ทั้งโลกต้องเผชิญ ทำให้พวกเขาจะเข้มงวดและเด็ดขาดมากขึ้นกับเกาหลีเหนือ, จีน และรัสเซีย
นิวแชมกล่าวว่า การที่เกาหลีเหนือเข้ามามีส่วนร่วมในสงครามรัสเซีย-ยูเครนเป็นสิ่งที่ต้องกังวลอย่างมาก เพราะเมื่อไม่นานมานี้ เกาหลีเหนือได้ทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีปใหม่ที่พวกเขากล่าวอ้างว่าสามารถโจมตีแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ ได้ นอกจากนี้นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือยังได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ทหารเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม และแสดงตัวให้ทั่วโลกเห็นว่าเกาหลีเหนือไม่กลัวการคว่ำบาตรใดๆ เพราะได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและจีนอยู่
ความเสี่ยงจากการตัดสินใจครั้งนี้
สหรัฐอเมริกาเชื่อว่าเกาหลีเหนือส่งทหารกว่า 10,000 คนไปยังรัสเซียตะวันออก โดยส่วนใหญ่ไปยังภูมิภาคคูร์สก์และเริ่มปฏิบัติการรบแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ แสดงท่าทีไม่เต็มใจที่จะให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่จัดหาโดยสหรัฐฯ เพื่อโจมตีเป้าหมายภายในรัสเซียลึก ๆ เพราะเกรงว่าจะทำให้สงครามทวีความรุนแรงขึ้น ก่อนที่ล่าสุดจะเปลี่ยนท่าทีและอนุญาตให้ยูเครนนำขีปนาวุธจากสหรัฐฯไปใช้ได้
...
หลังจากที่สหรัฐฯส่งสัญญาณออกไป นายเซเลนสกีได้ระบุในการแถลงเมื่อตอนเย็นวันอาทิตย์ว่า ขีปนาวุธเหล่านี้จะบอกเล่าทุกอย่างด้วยตัวมันเอง โดยก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียเตือนว่าการใช้ ATACMS ภายในรัสเซียจะหมายความว่า NATO หรือองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ อยู่ในภาวะสงครามกับรัสเซีย ขณะที่นายวลาดิเมียร์ จาบาโรฟ รองหัวหน้าคณะกรรมาธิการด้านกิจการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรแห่งรัสเซียกล่าวกับ TASS สื่อของรัสเซียว่า การตัดสินใจนี้อาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 และจะได้รับการโต้อย่างรวดเร็ว.
ผู้เขียน : อาจุมมาโอปอล
ที่มา : channelnewsasia , BBC
คลิกอ่านข่าว รายงานพิเศษ