เจ้าชาย บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯ ประณามอิสราเอลว่าทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา และเรียกร้องให้รัฐบาลยิวถอนทหารออกจากกาซากับเวสต์แบงก์ทันที

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 11 พ.ย. 2567 ว่า เจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ประณามการกระทำของอิสราเอลในฉนวนกาซาว่าเป็นการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ถือเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงที่สุดจาเจ้าหน้าที่ซาอุดีอาระเบีย นับตั้งแต่งสงครามเรื่อมขึ้นเมื่อ 7 ต.ค. ปีก่อน

เจ้าชาย บิน ซัลมาน มีพระดำรัสดังกล่าวขณะทรงเป็นประธานการประชุมสุดยอดผู้นำชาติสมาชิก “องค์การความร่วมมืออิสลาม” (OIC) กับกลุ่มสันนิบาตอาหรับ (Arab League) ที่กรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันจันทร์ที่ 11 พ.ย.

มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ยังประณามอิสราเอลที่โจมตีเลบานอนกับอิหร่าน รวมถึงเตือนรัฐบาลยิวไม่ให้โจมตีดินแดนอิหร่าน อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุฯ กับชาติคู่อริอย่างอิหร่าน พัฒนาขึ้น

นอกจากนั้น พระองค์ยังร่วมกับผู้นำชาติอาหรับและอิสลามที่มาร่วมการประชุม เรียกร้องให้อิสราเอลถอนทหารทั้งหมดออกจากฉนวนกาซาและเขตเวสต์แบงก์ด้วย

ขณะเดียวกัน เจ้าชาย ไฟซาล บิน ฟาร์ฮาน อัล-ซาอุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย ตรัสว่า เป็นความล้มเหลวของประชาคมนานาชาติ ที่สงครามในกาซายังไม่ถูกหยุดยั้ง และกล่าวหาอิสราเอลว่า ทำให้เกิดความอดอยากขึ้นที่นั่น

จนถึงตอนนี้ สงครามในฉนวนกาซาทำให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้วมากกว่า 43,400 ศพ โดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) พบว่า 70% ของผู้เสียชีวิตในกาซาที่ระบุตัวตนได้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เป็นผู้หญิงกับเด็ก

...

ผู้นำคนอื่นๆ ที่การประชุมสุดยอดในกรุงริยาด ยังร่วมกันประณามอิสราเอล ที่โจมตีเจ้าหน้าที่และอาคารของสหประชาชาติในกาซาอย่างต่อเนื่องด้วย

ทั้งนี้ เมื่อเดือนตุลาคม รัฐสภาของอิสราเอล ผ่านกฎหมายแบนสำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (UNRWA) ไม่ให้ปฏิบัติงานในอิสราเอล และกรุงเยรูซาเลมตะวันออก โดยกล่าวหาว่า องค์กรนี้สมคบกับกลุ่มฮามาส

กฎหมายดังกล่าวทำให้หลายประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร แสดงความกังวลอย่างยิ่ง ว่ามันกระทบต่อความสามารถในการขนส่งความช่วยเหลือเข้าสู่ฉนวนกาซา

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc