หลายสายการบินระงับเที่ยวบินไปเฮติ หลังเครื่องบินโดยสารลำหนึ่งถูกปืนยิงขณะพยายามลงจอดที่กรุงปอร์โตแปรงซ์ มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เครื่องบินโดยสารเที่ยวบินที่ 951 ของสายการบิน “สปิริต แอร์ไลน์ส” มีกำหนดการเดินทางจากเมืองฟอร์ท ลอเดอร์เดล ในรัฐฟลอริดา ของสหรัฐฯ ถึงท่าอากาศยานนานาชาติ “ตูแซ็ง ลูแวร์ตูร์” ในกรุงปอร์โตแปรงซ์ ของเฮติ ในเวลาประมาณ 12.00 น. วันที่ 11 พ.ย. 2567 แต่พวกเขากลับถูกปืนยิงเข้าใส่ขณะพยายามลงจอด

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เครื่องบินต้องเปลี่ยนเส้นทางไปยังสาธารณรัฐโดมินิกัน และลงจอดอย่างปลอดภัยที่สนามบินซานติอาโก

สปิริต แอร์ไลน์ส ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำในรัฐฟลอริดา ออกแถลงการณ์ระบุว่า พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน 1 ราย ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากเหตุการณ์นี้ แต่ไม่มีผู้โดยสารคนใดได้รับบาดเจ็บ

นี่นับเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 สัปดาห์ ที่เครื่องบินโดยสารถูกปืนยิงเข้าใส่ขณะบินอยู่เหนือเมืองหลวงของเฮติ ซึ่งกำลังเผชิญวิกฤติการเมืองอย่างหนัก จนทำให้กลุ่มติดอาวุธหลากหลายกลุ่ม ยึดครองพื้นที่ขนาดใหญ่ของประเทศเอาไว้

บนโลกออนไลน์มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ซึ่งอ้างว่า เป็นภาพภายในเครื่องบินลำที่เกิดเหตุ และมีรูกระสุนหลายรูอยู่บริเวณเก้าอี้ที่ลูกเรือต้องนั่งเวลาเครื่องบินขึ้นหรือลงจอด

สปิริต แอร์ไลน์ส ระบุว่า เจ้าหน้าที่พบความเสียหายที่น่าจะเกิดจากกระสุนปืน ระหว่างการตรวจสอบเครื่องบินที่สนามบินซานติอาโก และทำให้เครื่องบินลำนี้ต้องถูกถอดออกจากการให้บริการ สปิริต แอร์ไลน์ส บอกด้วยว่า พวกเขาจะระงับเที่ยวบินไปเฮติอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าการประเมินสถานการณ์จะเสร็จสิ้น

...

ขณะเดียวกัน สายการบินของสหรัฐฯ อีก 2 เจ้า ได้แก่ อเมริกัน แอร์ไลน์ส และ เจ็ทบลู (JetBlue) ก็ประกาศระงับให้บริการเที่ยวบินไปเฮติเช่นกัน โดยจะหยุดจนถึงวันพฤหัสบดีที่ 14 พ.ย.เป็นอย่างน้อย

ทั้งนี้ สถานการณ์ความมั่นคงในเฮติย่ำแย่ลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยเมื่อเดือนตุลาคม กลุ่มแก๊งติดอาวุธยิงปืนเข้าใส่เฮลิคอปเตอร์ขององค์การสหประชาชาติ ทำให้สายการบินต่างๆ ประกาศยกเลิกเที่ยวบินมาเฮติไปแล้วครั้งหนึ่ง

เมื่อวันจันทร์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเฮติเพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง หลังจากนาย แกร์รี โคนิลล์ ถูกขับออกจากตำแหน่ง หลายเข้ามาทำงานได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc