ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มันหยดไม่แผ่ว สองผู้สมัครต่างงัดไม้เด็ดหาเสียงจนวินาทีสุดท้าย โดย “แฮร์ริส” ชูประเด็นยุติสงครามตะวันออกกลาง แถมได้คนดังวงการบันเทิงร่วมเวที ขณะที่ “ทรัมป์” เดินหน้าขายนโยบายต่อต้านผู้อพยพ-ฟื้นเศรษฐกิจมะกันกลับสู่ยุคทอง ด้วยวลีเด็ด “อเมริกา เฟิร์สต์” ด้านสื่อสหรัฐฯเผยผลโพลก่อนวันเลือกตั้ง “ทรัมป์” นำ “แฮร์ริส” โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ เชื่อรับมือและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ดีกว่า แต่ใน 7 รัฐสวิงสเตต “แฮร์ริส” คะแนนนิยมมาเหนือกว่าใน 3 รัฐ อีก 3 รัฐสูสี

ทั่วโลกต่างใจจดใจจ่อกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับวันที่ 6 พ.ย.ตามเวลาในไทย โดยตลอดวันที่ 4 พ.ย.สำนักข่าวต่างประเทศต่างรายงานบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงโค้งสุดท้าย ซึ่งเป็นที่น่าจับตาว่าใครจะคว้าชัยเป็นผู้นำสหรัฐฯ ระหว่าง “นายโดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน วัย 78 ปี ที่มุ่งมั่นครองตำแหน่งผู้นำในสมัยที่ 2 กับ “นางคามาลา แฮร์ริส” รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวแทนพรรคเดโมแครต วัย 60 ปี ซึ่งมุ่งหวังเป็นผู้นำสหรัฐฯ คนแรกที่เป็นผู้หญิงและเป็นคนผิวสี

สำนักข่าวเอพีของสหรัฐฯระบุว่า นายทรัมป์ เริ่มต้นการหาเสียงในวันสุดท้ายที่รัฐนอร์ทแคโรไลนา รัฐเพนซิลเวเนีย และรัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นรัฐตัวแปรสำคัญ หรือ “สวิงสเตท” อีกหนึ่งสมรภูมิที่ชี้ชะตาได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ โดยยังคงขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ขอคะแนนเสียงจากประชาชนโดยไม่ใช้สคริปต์ล่วงหน้า และขายนโยบายต่อต้านผู้อพยพ ปิดชายแดนทางตอนใต้ของประเทศ พร้อมชูสโลแกนหาเสียง “เมก อเมริกา เกรท อะเกน” (ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง) กับ “อเมริกา เฟิร์สต์” (อเมริกา ต้องมาก่อน) ให้ความสำคัญกับประเทศเป็นหลัก รวมถึงโจมตีรัฐบาลเดโมแครตที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เกิดภาวะเงินเฟ้อ พร้อมให้คำมั่นว่าจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯเข้าสู่ยุคทอง และจะยุติความขัดแย้งระหว่างประเทศ

...

นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังกล่าวโจมตีพรรคคู่แข่งว่าไม่ใช่พรรคเดโมแครตแต่เป็นพรรคของปีศาจ รวมถึงกล่าวถึงเหตุการณ์เฉียดตายของตัวเองที่เมืองบัตเลอร์เมื่อเดือน ก.ค. บนเวทีหาเสียงในรัฐเพนซิลเวเนีย โดยระบุว่าถ้าใครอยากจัดการเขาก็ต้องลั่นไกฝ่าพวกเฟกนิวส์ หรือข่าวปลอมมาก่อน ซึ่งเรื่องนี้ตัวเขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก ส่งผลให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า คำพูดของนายทรัมป์หมายความว่า หากต้องการกำจัดตัวเขา ก็ต้องยิงปืนผ่านพวกนักข่าวมาก่อน และต่อมาทีมรณรงค์หาเสียงของนายทรัมป์ ต้องออกแถลงแก้ความเข้าใจให้ใหม่ว่า นายทรัมป์ไม่ได้ตั้งใจพุ่งเป้าไปที่สื่อใด แต่กล่าวถึงภัยคุกคามที่มีต่อตัวเอง ซึ่งมาจากพรรคเดโมแครต

ขณะเดียวกัน นางแฮร์ริสใช้เวลาหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายที่รัฐเพนซิลเวเนีย ก่อนถึงวันเลือกตั้งจริง โดยรัฐดังกล่าวยังมีคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งถึง 19 เสียง และได้พบปะกับกลุ่มชาวแรงงานในรัฐเพนซิลเวเนีย เช่น เมืองอัลเลนทาวน์ ก่อนปิดท้ายการหาเสียงที่เมืองฟิลาเดลเฟีย โดยมีเลดี้ กาก้า นักร้องและนักแสดงสาวชาวอเมริกัน รวมถึงโอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรมากฝีมือ ร่วมการหาเสียงกับนางแฮร์ริสในครั้งนี้ รวมถึงเลี่ยงกล่าวถึงนายทรัมป์ และให้คำสัญญาว่าจะมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และแสวงหาฉันทามติทางการเมือง

ก่อนหน้านี้สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ นางแฮร์ริสได้หาเสียงเลือกตั้งที่รัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นรัฐสวิงสเตท หนึ่งในสมรภูมิชี้ชะตาว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ มุ่งหวังเรียกคะแนนเสียงจากกลุ่มชาวคริสเตียนที่เป็นคนผิวสี และชาวอาหรับอเมริกัน โดยนางแฮร์ริสกล่าวถึงสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ยังรุนแรงต่อเนื่องไร้วี่แววว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด โดยเน้นย้ำว่าเป็นปีที่ยากลำบาก มีผู้คนล้มตายและบ้านเมืองพังเสียหายในฉนวนกาซา รวมถึงยังมีประชาชนเสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บและกลายเป็นคนไร้บ้านในเลบานอน หากตัวเองได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีก็จะลงมือปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถเพื่อยุติสงครามในฉนวนกาซา

อย่างไรก็ตาม แม้นางแฮร์ริสจะให้คำมั่นว่าจะยุติสงครามที่เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง แต่ยังมีข้อสังเกตว่าฝ่ายเดโมแครตจะสามารถจูงใจให้ประชาชนเทคะแนนเสียงให้ได้หรือไม่ โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า ชาวอาหรับ ชาวมุสลิมในสหรัฐฯ รวมถึงนักกิจกรรมต่อต้านสงครามมีความไม่พอใจและประณามการกระทำของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนแก่อิสราเอลในการปฏิบัติการทำลายล้างกองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์กลุ่มฮามาส ในฉนวนกาซา และกองกำลังติดอาวุธเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน ส่วนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายทรัมป์ยังได้หาเสียงที่เมืองเดียร์บอร์น รัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นใจกลางของชุมชนชาวอาหรับอเมริกัน ประกาศจะยุติความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางแต่ไม่เผยว่าจะดำเนินงานด้วยวิธีใดและอย่างไร

สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ นอกจากเป็นที่น่าจับตาว่าใครจะเป็นผู้กุมบังเหียนของประเทศ แล้ว ยังเป็นที่น่าสนใจด้วยว่าพรรคใดจะคว้าที่นั่งในรัฐสภา หรือสภาคองเกรส ได้มากที่สุด โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ของอังกฤษระบุว่า พรรครีพับลิกันมีแนวโน้มครองตำแหน่งเสียงส่วนมากในส่วนของวุฒิสภา ส่วนพรรคเดโมแครตมีโอกาสพลิกมาเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเช่นกัน

ขณะที่ผลสำรวจความนิยมระหว่างนายทรัมป์ กับนางแฮร์ริส สำนักข่าวเอ็นบีซี นิวส์ของสหรัฐฯ เผยผลสำรวจชาวอเมริกัน 1,000 คนทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 30 ต.ค.ถึงวันที่ 2 พ.ย. พบว่า ชาวอเมริกันต่างมีความชื่นชอบทั้ง 2 ฝ่ายเท่ากันคือ 49 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 49 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่มีประชาชนเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่แน่ใจว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้จะเลือกฝ่ายใด ส่วนคำถามว่าใครจะเป็นผู้รับมือและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ดีกว่ากัน พบว่านายทรัมป์มีคะแนนนำนางแฮร์ริสอยู่ที่ 51 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 41 เปอร์เซ็นต์ และนายทรัมป์ยังได้รับความไว้วางใจว่าจะรับมือกับปัญหาค่าครองชีพสูงได้ดีกว่านางแฮร์ริสอยู่ที่ 52 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 40 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ชาวอเมริกันมองว่านางแฮร์ริสสามารถจัดการเรื่องปัญหาการทำแท้งได้ดีกว่านายทรัมป์ โดยมีคะแนนอยู่ที่ 53 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 33 เปอร์เซ็นต์

...

ขณะที่ผลสำรวจจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สและวิทยาลัยเซียนา เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 24 ต.ค.ถึงวันที่ 2 พ.ย. จากชาวสหรัฐฯ 7,879 คนใน 7 รัฐสวิงสเตท ที่มีแนวโน้มว่าจะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง พบว่านางแฮร์ริสมีคะแนนความนิยมนำนายทรัมป์ ในรัฐเนวาดา รัฐนอร์ทแคโรไลนาและรัฐวิสคอนซิน ส่วนนายทรัมป์คว้าคะแนนนำเพียงรัฐเดียว คือรัฐอริโซนา รวมถึงทั้งคู่มีคะแนนนิยมสูสีกันในรัฐมิชิแกน รัฐจอร์เจียและรัฐเพนซิลเวเนีย ทั้งนี้ ผลสำรวจดังกล่าวมีค่าความคลาดเคลื่อนอยู่ที่ 3.5 เปอร์เซ็นต์

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่