การปราศรัยของบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วยนางกมลา แฮร์ริส ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 ที่รัฐมิชิแกนเมื่อวันก่อน ทำให้เราหมดความเชื่อมั่นในตัวประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 42 อย่างคลินตัน ไม่นึกเลยครับว่าอดีตคนหนุ่มที่ได้รับเลือกจากคนอเมริกันให้เป็นผู้นำตั้งแต่อายุเพียง 45 ปี จะมีทัศนคติคับแคบและกล้าพูดข้อมูลที่มีอคติต่อชาวอาหรับและมุสลิมต่อหน้าสาธารณชน

คลินตันพูดว่าอิสราเอลถูกบีบให้ต้องฆ่าประชาชนคนมุสลิมในกาซา “พวกเขา (ฮามาส) บีบให้คุณ (อิสราเอล) ฆ่าพลเรือน หากคุณ (อิสราเอล) ต้องการปกป้องตัวเอง” ผู้อ่านท่านที่เคารพ นายคลินตันไม่ทราบข้อเท็จจริงอย่างที่คนทั้งโลกทราบกันเลยดอกหรือ ว่าชั่วเวลาเพียงปีกว่า อิสราเอลฆ่ามุสลิมปาเลสไตน์ไปแล้วมากกว่า 4.3 หมื่นคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก

 โลกอยากจะโต้ตอบความโหดร้ายของอิสราเอล แต่สหรัฐฯ อังกฤษ และพันธมิตรซึ่งถือหางอิสราเอลใช้เท้าเหยียบอกคนที่ต้องการจะลุกขึ้นยืนมาทวงความยุติธรรมให้ชาวปาเลสไตน์ คณะกรรมการที่ได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติต่างสรุปด้วยข้อความสั้นๆ ว่ากองทัพอิสราเอล ‘ก่ออาชญากรรมกับมนุษยชาติ’

อิสราเอลทำลายการให้น้ำและอาหารของนานาชาติ ทำให้คนปาเลสไตน์ต้องหิวกระหายและอดอยากล้มตาย การโจมตีในแต่ละครั้งของพวกอิสราเอลก็มุ่งเป้าไปที่พลเรือน เมื่อคนทั้งโลกตะโกนก้องร้องขอให้หยุดฆ่าเด็ก สตรี และคนชรา อิสราเอลก็จะใช้ตรรกะเลวๆ โต้ตอบกลับมาว่าพวกปาเลสไตน์ก่ออาชญากรรมสงครามกับพวกเราชาวอิสราเอลก่อน

การปราศรัยของคลินตันที่ทำให้นักประวัติศาสตร์ยอมรับไม่ได้ก็คือประโยคที่บอกว่า “ชาวอิสราเอลอยู่ที่นั่น (แผ่นดินปาเลสไตน์) มาก่อน” นี่เป็นคำปราศรัยที่บิดเบือน เพราะข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์คือ ค.ศ.1948 ชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนถูกล้างชาติพันธุ์ออกจากถิ่นกำเนิดบ้านเกิดของตนเอง

...

 ก่อนหน้าการปราศรัยล่าสุดของอดีตประธานาธิบดีคลินตัน จากการสำรวจก็ยังพบว่า คนอเมริกันเชื้อสายอาหรับจะโหวตให้นางแฮร์ริส ตัวแทนจากเด็มโมแครต แต่หลังจากเนื้อหาคำปราศรัย ของคลินตันที่มีอคติต่อชาวปาเลสไตน์และเข้าข้างอิสราเอลแพร่ขยายกระจายไป ผลการสำรวจออกมาว่าชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับกลับหันมาสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์

 คลินตันเกิดเมื่อ ค.ศ.1946 ถึงวันนี้ก็อายุ 78 ปี มีข่าวคราวเกี่ยวกับสุขภาพที่เสื่อมโทรมของแกหลุดออกมาเป็นประจำ โดยแท้ที่จริงคนอายุ 78 ปีนี่ก็ยังไม่แก่มากนัก ถ้าพูดถึงอายุ คลินตันกับทรัมป์ซึ่งเป็นผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯอายุเท่ากัน เกิด ค.ศ.1946 เช่นเดียวกัน จากคำปราศรัยของทรัมป์ก็มีหลุดบ้าง แต่ไม่ได้ผิดความคาดหวังเพราะบุคลิกของทรัมป์เป็นคนพูดจาโผงผาง มีลักษณะ ‘เหยียด’ คนอื่นเป็นประจำอยู่แล้ว

คลินตันเคยได้รับทุนเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เรียนวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ เคยฝึกงานกับคณะกรรมาธิการการต่างประเทศของวุฒิสมาชิกที่มี เจ.วิลเลียม

ฟุลไบรท์ เป็นประธาน เคยทำงานเกี่ยวดองหนองยุ่งกับการเมืองและสนับสนุนการประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองให้แก่ชาวผิวดำมาก่อน

ค.ศ.1991 คลินตันเสนอตัวให้พรรคเด็มโมแครตเลือก เพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นโยบายสำคัญที่คลินตันใช้รณรงค์ หาเสียงในตอนนั้นก็คือ คลินตันเสนอให้ใช้กำลังเพื่อยุติการทำลายล้างชาวมุสลิมในบอสเนียของพวกเซิร์บ

ตอนนั้นมุสลิมอเมริกันต่างเฮชูจั๊กกะแร้เชียร์นโยบายของคลินตันกันอย่างถล่มทลาย ทำให้คลินตันชนะประธานาธิบดีจอร์จ บุช จากพรรครีพับลิกัน และเข้าพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯเมื่อ 20 มกราคม 1993

ใครที่เคยอ่านหนังสือ My Life ของคลินตันซึ่งเป็นหนังสือ ขายดีที่สุดใน ค.ศ.2004 ถ้าได้ฟังคำปราศรัยที่รัฐมิชิแกนในอีก 20 ปีต่อมา หรือใน ค.ศ.2024 ก็คงต้องเผาหนังสือ My Life ทิ้ง ใครจะนึกว่าคลินตันที่เคยพูดถึงเรื่องการส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ การระดมเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศต่างๆ จะกลับมาสนับสนุนกองกำลังอิสราเอลที่ ฆ่าคนไปแล้วมากกว่า 4.3 หมื่นคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก

ไม่รู้ไปโดนตัวไหนมา คลินตันถึงได้ดีดและเปลี่ยนไปได้มากถึงขนาดนี้.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com

คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม