"ลี เซียน หยาง" น้องชายอดีตนายกฯสิงคโปร์ เผยถูกข่มเหงคุกคามในประเทศจนอยู่ไม่ได้ ล่าสุดได้รับสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่อังกฤษ

วันที่ 22 ตุลาคม 2567 นายลี เซียน หยาง บุตรชายคนเล็กของนายลี กวน ยู บิดาผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ น้องชายของอดีตนายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง ได้เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขาว่า เขาถูกรัฐบาลสิงคโปร์ข่มเหงคุกคาม ทั้งตัวเขาและครอบครัวจนอยู่ในประเทศไม่ได้ ต้องหนีไปที่อังกฤษ และล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลอังกฤษได้อนุมัติสถานะผู้ลี้ภัยให้กับเขาแล้ว ทำให้ตอนนี้เขามีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง

นายลี เซียน หยาง วัย 67 ปี กล่าวว่า เขาได้รับการอนุมัติให้ลี้ภัยอยู่ในอังกฤษได้ เนื่องจากถูกสิงคโปร์ข่มเหง ต่อเขาและครอบครัวของเขา หลังจากเขาได้เข้าร่วมกับพรรคฝ่ายค้านในช่วงการเลือกตั้งปี 2020 และเมื่อปีที่แล้วเขาออกมาเปิดเผยว่า กำลังพิจารณาลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสิงคโปร์ ซึ่งตำแหน่งนี้ส่วนใหญ่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นเพียงพิธีการเท่านั้น

เขากล่าวว่า รัฐบาลสิงคโปร์พยายามคุกคามเขาอย่างเปิดเผย โดยมีการดำเนินคดีลูกชายของเขา ดำเนินคดีวินัยกับภรรยา และเปิดการสืบสวนของตำรวจซึ่งเป็นเท็จทำให้คดีลากยาวมาหลายปี และด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถกลับไปสิงคโปร์เพื่อไปร่วมงานศพของลี เว่ย หลิง น้องสาวของเขาผู้เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมาได้

การออกมาเปิดเผยของนายลี เซียน หยาง นับเป็นการขยายปมความร้าวฉานภายในครอบครัวของอดีตผู้นำสิงคโปร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษจนถึงเดือนพฤษภาคมปีนี้ หลังจากเกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับบ้านของนายลี กวน ยู หลังจากที่เขาเสียชีวิตในปี 2558

ก่อนหน้านี้ นายลี เซียน หยาง ให้สัมภาษณ์ เดอะ การ์เดียน กล่าวหาว่า นายลีผู้พี่ใช้อำนาจในทางมิชอบเพื่อหยุดไม่ให้เขาและน้องสาว รื้อถอนบ้านของครอบครัวตามความปรารถนาของบิดา ซึ่งเสียชีวิตในปี 2558 หลังจากครองอำนาจในสิงคโปร์มานานกว่า 3 ทศวรรษ ในขณะที่นายลีผู้พี่ คิดว่ารัฐบาลควรตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับมัน ซึ่งอาจรวมถึงการอนุรักษ์ไว้เป็นสถานที่สำคัญทางมรดก

...

นายลี เซียน หยาง ยังระบุว่า โลกจำเป็นต้องจับตาดูบทบาทของสิงคโปร์ในฐานะผู้อำนวยความสะดวกหลักในการค้าอาวุธ เงินสกปรก เงินยาเสพติด และเงินดิจิทัล

ขณะที่รัฐบาลสิงคโปร์ ออกแถลงการณ์ระบุว่า ข้อกล่าวหาในรายงานของเดอะ การ์เดียน ไม่มีมูลความจริง พร้อมยืนยันว่าสิงคโปร์ มีระบบที่แข็งแกร่งในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการไหลเวียนของเงินผิดกฎหมายอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากล.