ถ้าคามาลา แฮร์ริสชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 จะนับเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์อเมริกา เพราะเธอจะเป็นผู้หญิงคนแรกและเป็นผู้หญิงที่มีเชื้อสายเอเชียใต้และแอฟริกันอเมริกันคนแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้
อย่างไรก็ตาม สื่อต่างประเทศหลายสำนักก็มีการวิเคราะห์ว่า แม้ว่าแฮร์ริสและไบเดนจะมีความเห็นตรงกันในทิศทางหลักสำหรับนโยบายต่างประเทศและความมั่นคง แต่การปรับเปลี่ยนก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และอาจจะเกิดขึ้นในบางส่วน ดังนี้
การมีส่วนร่วมกับชาติต่างๆ
นางแฮร์ริสจะมุ่งเน้นไปที่การลดความตึงเครียดกับระบอบที่เป็นปฏิปักษ์ เช่น รัสเซีย จีน และอิหร่าน โดยพยายามหาข้อตกลงเมื่อเป็นไปได้ อย่างการมองจีนให้เป็นพันธมิตรในการดำเนินการเปลี่ยนแปลงสีเขียวระดับโลก และเปิดรับการมีส่วนร่วมกับอิหร่าน โดยพยายามหาจุดร่วมกับเตหะรานในการสนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ และแม้ว่าจะมีการเผชิญหน้ากับจีน รัสเซีย และอิหร่านในปัจจุบัน แต่รัฐบาลของแฮร์ริสอาจจะมองหาช่องทางในการร่วมมือกับทั้งสามประเทศ และใช้วิธีการแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้การบังคับในระดับต่ำสุดที่จำเป็นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น ความพยายามที่ระมัดระวังของรัฐบาลไบเดนในการป้องกันรัสเซียจากการโจมตียูเครน ซึ่งเริ่มจากมาตรการทางการทูตและการขู่กรรโชกทางเศรษฐกิจ สหรัฐฯ จึงตอบสนองอย่างเข้มข้นขึ้นหลังจากที่เห็นชัดว่าการป้องกันล้มเหลว
นโยบายต่อประเทศจีน
ส่วนนโยบายที่เกี่ยวกับจีนนั้นแม้ว่านางแฮร์ริสได้ขึ้นมาเป็นผู้นำก็ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนจะดีขึ้น อย่างเห็นได้ชัด โดยแฮร์ริสจะดำเนินงานต่อโจ ไบเดน และอาจจะยังคงดำเนินการตามหลายโครงการที่เปิดตัวในสมัยทรัมป์ รวมถึงการเพิ่มอัตราภาษีและการคุ้มครองเพื่อเป้าหมายบริษัทจีน เช่นเดียวกับการทูตของจีนที่มุ่งเน้นไปที่การตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในประเทศที่มีแนวทางชาตินิยม แต่อาจจะมีความพยายามเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดบางอย่างเช่นการต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ซึ่งแฮร์ริสอาจพยายามทำงานหนักขึ้นเพื่อจัดการกับการเลือกปฏิบัติต่อชาวเอเชียอเมริกัน รวมถึงการเน้นถึงความแตกต่างระหว่างรัฐกับประชาชน และประชาชนกับกลุ่มคนที่อพยพ ในฐานะผู้ที่เข้าใจอุปสรรคที่เกิดจากชาตินิยมและการเหยียดเชื้อชาติ ขณะเดียวกันแฮร์ริสอาจจะมองเห็นความสำคัญในการพึ่งพาทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยและอัตราการว่างงานของเยาวชนที่สูง การหลีกเลี่ยงความขัดแย้งรุนแรงกับจีน การให้จีนเข้าร่วมเมื่อพูดถึงการซื้อพันธบัตรของอเมริกา และการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั่วไปล้วนเป็นสิ่งสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายในประเทศของเธอ
...
นโยบายสังคมและเศรษฐกิจ
แฮร์ริสอาจผลักดันนโยบายที่มุ่งเน้นความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและเศรษฐกิจ เช่น การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ การเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่ดีขึ้น และการสนับสนุนธุรกิจของคนผิวสี ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
มีแนวโน้มว่าแฮร์ริสน่าจะเน้นการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้น เช่น การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสะอาด
นโยบายการเข้าเมือง
แฮร์ริสอาจผลักดันให้มีนโยบายที่เป็นมิตรต่อผู้เข้าเมืองมากขึ้น เช่น การปฏิรูประบบการเข้าเมือง และการให้สิทธิ์แก่ผู้ที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
การดูแลสุขภาพ
มีแนวโน้มว่าจะพยายามขยายการเข้าถึงระบบสุขภาพ โดยอาจสนับสนุนการปรับปรุงโครงการโอบามาแคร์ หรือสร้างโครงการประกันสุขภาพแห่งชาติ
การตอบสนองต่อการแบ่งขั้วทางการเมือง
การบริหารงานของแฮร์ริสอาจพยายามสร้างสะพานเชื่อมระหว่างสองพรรคการเมือง เพื่อสร้างความสามัคคีในสังคมและลดความตึงเครียดทางการเมือง
ท่าทีต่อประเทศไทย
ด้านเศรษฐกิจ อาจมีการเน้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการค้าและการลงทุน หากเธอสนับสนุนการสร้างโอกาสทางธุรกิจและการพัฒนานวัตกรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ด้านสิ่งแวดล้อม สหรัฐฯ อาจมีความเข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความร่วมมือด้านพลังงานและการพัฒนาอย่างยั่งยืนระหว่างไทยและสหรัฐฯ
ด้านความมั่นคงในภูมิภาค แฮร์ริสอาจให้ความสำคัญกับการรักษาความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอาจสนับสนุนการทำงานร่วมกันในประเด็นที่เกี่ยวกับความมั่นคง เช่น การต่อสู้กับการก่อการร้ายหรือการป้องกันภัยจากประเทศที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว
ด้านการสนับสนุนสิทธิมนุษยชน หากเธอมีแนวทางที่เข้มข้นเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน อาจมีการเน้นการสนับสนุนไทยในเรื่องนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ในด้านการเมืองและการทูต
การตอบสนองต่อภูมิรัฐศาสตร์ สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ไทยอาจได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนทางการทูตในบริบทของการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน แฮร์ริสอาจให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการศึกษา ซึ่งอาจช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
ความท้าทายต่างๆที่แฮร์ริสจะต้องรับมือ
การเพิ่มขึ้นของลัทธิอนุรักษ์นิยมทั่วโลก: การเติบโตของประชานิยมในยุโรปและความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายขวากลางและอนุรักษ์นิยมในยุโรปทำให้ประธานาธิบดีแฮร์ริสอาจจะไม่สามารถพึ่งพาเสียงจากยุโรปที่มีความเห็นตรงกันกับนโยบายต่างประเทศแบบเสรีนิยมของเธอได้ ประธานาธิบดีแฮร์ริสจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้นำที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันในหลากหลายประเด็น ตั้งแต่การอพยพไปจนถึงปัญหาเศรษฐกิจ
นโยบายนิวเคลียร์: ทั้งจากรัสเซียและจีน รวมถึงการนิวเคลียร์จากอิหร่าน การแข่งขันด้านอวกาศกำลังเร่งตัวขึ้น และความต้องการระบบป้องกันขีปนาวุธจะเพิ่มขึ้น ทำใ้สหรัฐฯจำเป็นต้องปรับกลยุืธ์ในด้านนี้
การต่อต้านชาวยิวและต่อต้านไซออนิสต์: ความตึงเครียดระหว่างการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์กับการสนับสนุนแบบดั้งเดิมของพรรคเดโมแครตในการต่อสู้กับการต่อต้านชาวยิวและต่อต้านไซออนิสต์กำลังสร้างความตึงเครียดอย่างมากภายในพรรคเดโมแครต รัฐบาลแฮร์ริสจขึงต้องเตรียมจัดการกับความท้าทายนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเมืองภายในประเทศในอนาคตและนโยบายความมั่นคงและต่างประเทศของสหรัฐฯ
...
เศรษฐกิจ: นโยบายของไบเดน-แฮร์ริสในการส่งเสริมการเติบโตผ่านการใช้จ่ายของรัฐบาลและการเพิ่มภาษีอาจถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมจริงในปี 2025 หลังจากที่สัญญากับผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่าจะลดอัตราเงินเฟ้อและปรับปรุงสภาพคล่องสำหรับชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงาน แต่อาจจะไม่สามารถทำตามสัญญานี้ได้ นอกจากนี้ รัฐบาลไบเดนได้กำหนดภาษีและการคว่ำบาตรมากกว่ารัฐบาลทรัมป์และยังไม่ได้ทำข้อตกลงการค้าเสรี ซึ่งจะทำให้ยากในการสนับสนุนแนวนโยบายเสรีตลาด
ละตินอเมริกาและผู้อพยพ: นโยบายการมีส่วนร่วมและการปรับแนวของพรรคเดโมแครตประสบความล้มเหลวอย่างมีนัยสำคัญในละตินอเมริกา ซึ่งสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับอิทธิพลที่ขยายตัวของจีน รัสเซีย และอิหร่าน รวมถึงเครือข่ายอาชญากรรมและผู้ก่อการร้ายระหว่างประเทศ จำนวนประชากรที่อยู่ในสถานะผิดกฎหมายในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นภายใต้รัฐบาลไบเดน-แฮร์ริส และการค้ามนุษย์จากเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นโจทย์ที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องรีบแก้.
คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ เลือกตั้งสหรัฐฯ2024
...