เมลาเนีย ทรัมป์ อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ ประกาศสนับสนุนสิทธิ์ในการทำแท้งของสตรี สวนทางจุดยืนของโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกัน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นางเมลาเนีย ทรัมป์ อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ ยืนยันในคลิปวิดีโอใหม่ที่โพสต์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 ต.ค. 2567 ว่า เธอสนับสนุนสิทธิ์ในการทำแท้งของสตรี และเชื่อว่าไม่มีช่องว่างให้ประนีประนอมใดๆ เมื่อเป็นเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคลของผู้หญิง

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเมลาเนียเกิดขึ้นไม่นานหลังจากสื่อในสหรัฐฯ เพิ่งรายงานว่า เธอเตรียมออกหนังสือเล่มใหม่ ซึ่งข้อความส่วนหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ระบุว่า เธอสนับสนุนสิทธิ์ในการทำแท้งอย่างเสรีโดยไม่มีการแทรกแซง หรือกดดันจากรัฐบาล

“เสรีภาพส่วนบุคคลคือหลักการพื้นฐานที่ฉันปกป้อง ไม่ต้องสงสัยเลบว่า ไม่มีช่องว่างให้เจรจาเพื่อเป็นเรื่องสิทธิพื้นฐานนี้ ที่ผู้หญิงทุกคนมีตั้งแต่เกิด คือ เสรีภาพส่วนบุคคล มิเช่นนั้นคำว่า ‘ร่างกายของฉัน ฉันเลือกเอง’ จะมีความหมายว่าอย่างไรกัน” อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 กล่าวในคลิปวิดีโอซึ่งโพสต์ผ่าน X

แต่การเลือกปกป้องสิทธิ์ในการทำแท้งของเมลาเนีย อาจขัดแย้งกับจุดยืนของ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เป็นสามี ในขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีกำลังจะมาถึงใน 1 เดือนข้างหน้า

นายทรัมป์ มีจุดยืนต่อต้านการทำแท้งเสรีมาตลอด และมักอ้างความดีความชอบในการคว่ำผลการตัดสินคดี โร-เวด ซึ่งคุ้มครองเรื่องการทำแท้งในสหรัฐฯ มาตลอด ส่งผลให้รัฐฝ่ายรีพับลิกันเกือบทั้งหมด ออกกฎหมายเพิ่มความเข้มงวดในการทำแท้งมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์เคยระบุว่า เขาจะคัดค้านการมาตรการห้ามทำแท้งในระดับประเทศ หากเข้าได้รับเลือกอีกสมัย และจะให้แต่ละรัฐตัดสินใจเรื่องการออกกฎหมายเอง

...

ทั้งนี้ เมลาเนียแทบจะหายหน้าไปตลอดการหาเสียงเลือกตั้งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และไม่ทำอะไรที่ดึงดูดความสนใจ ยกเว้นโพสต์วิดีโอบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อโปรโมทหนังสือเล่มใหม่ของเธอ ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในสัปดาห์หน้า

ประโยคหนึ่งในหนังสือของเธอตั้งคำถามว่า “เหตุใดทุกคนนอกจากตัวผู้หญิงเอง ถึงมีอำนาจกำหนดว่าพวกเธอสามารถทำอะไรกับร่างกายของตัวเองได้บ้าง?” และ “สิทธิพื้นฐานของผู้หญิงในการมีเสรีภาพส่วนบุคคล ต่อชีวิตของตัวเอง มอบอำนาจให้เธอสามารถยุติการตั้งครรภ์ของตัวเองได้ หากเธอต้องการ”

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : cnn