ผู้นำมาร์กซิสต์คว้าชัยชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีศรีลังกา โดยต้องใช้วิธีนับคะแนนรอบ 2 เพื่อตัดสินเป็นครั้งแรก หลังไม่มีผู้ใดได้คะแนนเสียงเกินครึ่ง
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ก.ย. 2567 นายอนุรา กุมารา ดิสสานายาเก ผู้นำมาร์กซิสต์หัวเอียงซ้าย หัวหน้าพรรค “แนวหน้าปลดปล่อยของประชาชน” (JVP) ประกาศตัวเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีศรีลังกา ที่จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 21 ก.ย. 2567 จ่อได้เป็นผู้นำคนใหม่ของประเทศ
ผลการเลือกตั้งในเบื้องต้นชี้ว่า นายอนุราได้คะแนนเสียงนำมาเป็นอันดับที่ 1 ตามด้วยนาย ซาจิธ ปรีมาดาสา ผู้นำฝ่ายค้าน ที่คะแนน 42.31% ละ 32.76% ตามลำดับ
แต่เนื่องจากไม่มีใครได้คะแนนเสียงเกินครึ่ง คณะกรรมการเลือกตั้งของศรีลังกาจึงต้องใช้การนับคะแนนเสียงรอบที่ 2 เพื่อตัดสิน โดยการเลือกตั้งของศรีลังกา ผู้โหวตสามารถลงคะแนนให้ผู้สมัครได้ 3 ลำดับตามความชอบ ซึ่งการนับคะแนนรอบที่ 2 จะนับคะแนนของผู้สมัครที่อยู่ในลำดับ 2 และลำดับ 3 ด้วยว่า มีคะแนนที่เลือกผู้สมัคร 2 อันดับแรกหรือไม่
หลังจากรวมคะแนนแล้วปรากฏว่า นายดิสสานายาเก ได้คะแนนโหวตทั้งหมด 5,740,179 เสียง ส่วนนายปรีมาดาสา ได้ไป 4,530,902 เสียง
คณะกรรมการเลือกตั้งของศรีลังการะบุว่า นายดิสสานายาเกจะสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งศรีลังกาในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 23 ก.ย. 2567 นี้
อนึ่ง การเลือกตั้งเมื่อวันเสาร์นับเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ที่ประชาชนชาวศรีลังกาจะได้โอกาสใช้สิทธิ์เลือกผู้นำประเทศด้วยตนเอง หลังจากเกิดการประท้วงใหญ่ในปี 2565 เนื่องจากไม่พอใจที่ศรีลังกาต้องเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ ทำให้ประธานาธิบดี โกตาบายา ราชปักษาต้องลงจากตำแหน่ง
...
นี่ยังนับเป็นครั้งแรกที่ศรีลังกาต้องใช้วิธีนับคะแนนรอบ 2 ในการตัดสินผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี เนื่องจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ผู้ชนะล้วนได้รับคะแนนเสียงเกิน 50%
ทั้งนี้ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่พังทลายของศรีลังกา นายดิสสานายาเกสัญญาว่า จะพัฒนาภาคการผลิต, การเกษตร และไอที ของประเทศ และจะสานต่อข้อตกลงข้อเงินช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แต่จะหาทางแก้ไขข้อตกลงเพื่อลดผลกระทบจากมาตรฐานรัดเข็มขัดที่พวกเขาจำต้องบังคับใช้ตามเงื่อนไข
ด้านนาย รานิล วิกรมสิงเห ซึ่งกำลังจะต้องก้าวลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี ออกมาแสดงความยินดีกับนายดิสสานายาเก ระบุว่า “ด้วยความรักและความเคารพมากมายที่มีต่อประเทศอันเป็นที่รักนี้ ผมขอส่งต่ออนาคตของประเทศ ให้แก่ประธานาธิบดีคนใหม่”
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc