• การดีเบตระหว่าง คามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต และโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากรีพับลิกัน จบลงด้วยความปราชัยของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ

  • ทั้งนักวิเคราะห์และผู้ชมการดีเบต ตามมองว่า แฮร์ริสทำผลงานได้ดีกว่า ขณะที่ทรัมป์ตกเป็นฝ่ายตั้งรับเกือบตลอด และมุมมองที่ประชาชนมีต่อแฮร์ริสก็ดีขึ้นหลังการดีเบตครั้งนี้

  • แต่การชนะในการดีเบต ไม่ได้หมายความว่าจะชนะการเลือกตั้ง ผู้สมัครทั้ง 2 คนมีเวลาอีก 8 สัปดาห์ที่จะทำอะไรสักอย่างก่อนการเลือกตั้งมาถึง เพื่อดึงความได้เปรียบมาไว้กับฝ่ายตัวเอง

คามาลา แฮร์ริส กับ โดนัลด์ ทรัมป์ เผชิญหน้ากันในการดีเบต หรือ โต้อภิปราย ครั้งแรกไปแล้วเมื่อคืนวันที่ 10 ก.ย. 256 ตามเวลาสหรัฐฯ และอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นฝ่ายปราชัย

หนึ่งในสัญญาณที่บอกว่า ฝ่ายใดเป็นผู้พ่ายแพ้ คือการที่ฝ่ายนั้นไปปรากฏตัวที่ห้องสปินรูม (spin room) ซึ่งจัดไว้ให้ผู้สื่อข่าวและผู้แทนจากทีมหาเสียงของแต่ละฝ่าย ซึ่งตามปกติแล้ว ผู้สมัครจะปล่อยให้ตัวแทนในห้องเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ แต่นายทรัมป์กลับไปปรากฏตัวด้วยตัวเอง เนื่องจากมีแผลมากมายที่ต้องปะ

อีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่า ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตทำผลงานได้ดีกว่าในคืนนี้ คือการที่ทีมหาเสียงของแฮร์ริส เสนอโอกาสดีเบตครั้งที่ 2 ให้แก่โดนัลด์ ทรัมป์ ทันทีที่การโต้อภิปรายครั้งแรกจบลง เพราะทีมงานของแฮร์ริสมองข้อได้เปรียบของตัวเอง และข้อเสียเปรียบของนายทรัมป์ ในการดีเบตกันอีกครั้ง

การที่ เทย์เลอร์ สวิฟต์ หนึ่งในศิลปินสาวที่โด่งดังที่สุดในยุคนี้ ประกาศสนับสนุนแฮร์ริสเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่กี่นาทีหลังการดีเบต ยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ทีมหาเสียงของรองประธานาธิบดี ว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่า น.ส.แฮร์ริส ทำได้ดีกว่าในการดีเบตครั้งนี้

แต่พวกเขาก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะยังเหลือเวลาอีก 8 สัปดาห์ ก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง 5 พ.ย. 2567 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเพียงพอให้เกิดเหตุการณ์ใดๆ ที่สามารถพลิกผันกระแสของการเลือกตั้งได้

...

ผลโพลชี้ ทรัมป์แพ้ดีเบต

ไม่ใช่แค่เหล่านักวิเคราะห์เท่านั้น แต่ชาวอเมริกันที่ได้ชมการดีเบตก็คิดเหมือนกันว่า ครั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ เสียท่าให้แก่ คามาลา แฮร์ริส แล้ว

หลังการดีเบต สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น ก็จัดทำโพลสำรวจความคิดเห็นทันที โดยพบว่า ผู้ชม 63% ต่อ 37% มองว่า แฮร์ริสทำผลงานบนเวทีที่ฟิลาเดลเฟียได้ดีกว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ต่างจากก่อนหน้าการดีเบต ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามกลุ่มเดียวกันนี้ มีความเห็นแบ่งเป็น 2 ฝ่ายเท่ากันที่ 50%

ขณะเดียวกัน มีผู้ตอบแบบสอบถามฝ่ายเดโมแครนถึง 96% ที่มองว่า แคนดิเดตที่พวกเขาเลือกทำผลงานได้ดีกว่า ขณะที่ฝ่ายรีพับลิกัน มองว่านายทรัมป์ทำผลงานได้ดีกว่าเพียง 69% เท่านั้น

ผู้ชมการดีเบตยังมีมุมมองต่อนางแฮร์ริสที่ดีขึ้น โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม 45% ที่มองว่าแฮร์ริสน่าพอใจ เพิ่มขึ้นจากก่อนการดีเบต 6% ขณะที่ 44% มองว่าไม่น่าพอใจ ขณะที่มุมมองต่อนายทรัมป์แทบไม่เปลี่ยนแปลง ที่ 39% ต่อ 51%

นายทรัมป์ยังถูกมองว่าได้เปรียบด้านนโยบายเศรษฐกิจ, ผู้อพยพ และการเป็นผู้บัญชาการ ส่วนแฮร์ริสได้รับความเชื่อถือมากขึ้นในด้านนโยบายการทำแท้ง และการปกป้องประชาธิปไตย

นอกจากนั้น ผู้ตอบแบบสอบถาม 54% ระบุว่า พวกเขามีความมั่นใจอยู่บ้าง เรื่องความสามารถในการเป็นผู้นำประเทศของ น.ส.แฮร์ริสกับนายทรัมป์ ขณะที่ 36% ระบุว่า พวกเขามั่นใจในตัวนายทรัมป์มาก และ 32% มั่นใจในตัว น.ส.แฮร์ริสมาก ต่างจากตอนนายไบเดน ที่มีผู้บอกว่ามั่นใจในความสามารถของเขามากเพียง 14% หลังการดีเบต

ชาวอเมริกันต้องการความเปลี่ยนแปลง

แต่ชัยชนะของ แฮร์ริส ในการดีเบตไม่ได้รับประกันว่าเธอจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย.นี้ เพราะเกือบทุกการเลือกตั้งนับตั้งแต่ปี 2543 ชาวอเมริกันมักมีความคิดอย่างเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและสมาชิกสภาคองเกรส ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่แตกต่างกัน

ผลสำรวจความคิดเห็นของ New York Times/Siena College เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนตอบแบบสอบถามทั่วประเทศ ชี้ว่า คน 63% ต้องการให้ประธานาธิบดีคนต่อไปทำให้เกิดความเปลี่ยนครั้งใหญ่จากยุคของ โจ ไบเดน ขณะที่ 32% ระบุว่า ต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

นี่จึงเป็นการเลือกตั้งเพราะความเปลี่ยนแปลง แต่ น.ส.แฮร์ริสกับนายทรัมป์ จะทำให้ผู้โหวตเชื่อได้หรือไม่ว่า พวกเขาคือผู้ที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงนั้น

ในระหว่างการดีเบต แฮร์ริสกำหนดจุดยืนของตัวเองด้วยการระบุว่า เธอจะนำเสนอ “เส้นทางใหม่ในการก้าวไปข้างหน้า” และจะมุ่งความสนใจไปยังอนาคน และว่าภายใต้การเป็นผู้นำของเธอ สหรัฐฯ จะก้าวต่อไปข้างหน้าจากยุคของนายทรัมป์

ขณะที่คาดว่า ทีมหาเสียงของนายทรัมป์จะใช้เวลา 2 เดือนที่เหลือให้ทรัมป์หาเสียงโดยยึดข้อความสุดท้ายที่เขาพูดในการดีเบตเพื่อโจมตีแฮร์ริสว่า “เธอกำลังจะทำสิ่งวิเศษทั้งหมดนี้ ทำไมที่ผ่านมาไม่เธอละ เธออยู่ที่นั่นมาตั้ง 3 ปีครึ่ง” เป็นหลัก เพื่อสื่อว่า แฮร์ริสไม่ใช่ผู้ที่จะมอบความเปลี่ยนแปลงให้พวกเขา

...

อีก 8 สัปดาห์ถึงวันเลือกตั้ง

ผลสำรวจความคิดเห็นแห่งชาติล่าสุดชี้ว่า หากการเลือกตั้งเกิดขึ้นในตอนนี้ คะแนนของแฮร์ริสกับทรัมป์จะสูสีกันมากๆ และผลการดีเบตก็ไม่น่าส่งผลต่อการเลือกตั้งมากนัก เพราะนายทรัมป์ก็แพ้ดีเบตในปี 2559 เช่นเดียวกับ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ในปี 2547 แต่พวกเขาก็ชนะการเลือกตั้งได้ทั้งคู่

ในช่วง 8 สัปดาห์หลังจากนี้ ทีมหาเสียงของทั้ง 2 ฝ่ายจะขับเคลื่อนเต็มพลัง นายทรัมป์ยังมีข้อได้เปรียบ 2 อย่างคือ นโยบายเศรษฐกิจและผู้อพยพ ชาวอเมริกันมากมายยังรอคอยผลประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังยุคโควิด ขณะที่การปราบปรามผู้อพยพของนายทรัมป์ แม้จะฟังดูโหดร้าย แต่มันก็เคยได้ผลในการดึงคะแนนเสียงมาแล้ว

ส่วน น.ส.แฮร์ริส ที่ต้องรับไม้ต่อจาก โจ ไบเดน กลางทางและวื่งตามหลังนายทรัมป์มาตลอด สามารถขยับขึ้นมาตีคู่ได้อย่างน่าชมเชย และเธอกับทีมงานต้องทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใครกว่า 200,000 คน เชื่อว่า เธอคือผู้ที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงจริงๆ และดึงคะแนนเสียงอันแสนสำคัญมาจากพวกเขาให้ได้ หากเธอต้องการเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้





ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : cnacnn

...