• การดีเบตในวันอังคาร 10 ก.ย. ของสองผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ "คามารา แฮร์ริส" รองประธานาธิบดี และอดีตประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้มาเผชิญหน้าตอบโต้กันแบบตัวต่อตัว และประชันนโยบายเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ
  • ทั้งสองฝ่ายต่างเตรียมพร้อมมาเชือดเฉือนคารมกัน เตรียมการด้านเทคนิกและข้อมูลต่างๆ วางกลยุทธ์อย่างดีในการเผชิญหน้าครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นการดีเบตรอบสองของศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยในครั้งแรก ยังเป็นประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก่อนที่ผลดีเบตจะกลายเป็นชนวนเหตุให้นายไบเดนต้องประกาศถอนตัวจากการเป็นผู้แทนพรรคเดโมแครตและส่งไม้ต่อให้นางแฮร์ริส 
  • ด้านผลสำรวจล่าสุดชี้ว่า คามาลา แฮร์ริส กับ โดนัลด์ ทรัมป์ มีคะแนนนิยมสูสีกันใน 3 รัฐสมรภูมิ (battleground state) หรือ รัฐสวิงสเตท (swing state) ซึ่งอาจเป็นจุดชี้ขาดผลการเลือกตั้ง โดยนางแฮร์ริสนำมาที่ 51% ต่อ 49% ที่รัฐวิสคอนซิน ส่วนที่รัฐมิชิแกน แฮร์ริสนำอยู่ 50% ต่อ 49% และที่รัฐเพนซิลเวเนีย คะแนนของทั้งคู่เท่ากันที่ 50%

การดีเบตประชันนโยบายถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ในรอบนี้ ซึ่งเป็นรอบที่ 2 จัดโดยสถานีข่าว ABC News เรียกได้ว่าอาจเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวสำหรับโอกาสในการมาดีเบตตัวต่อตัวของสองผู้สมัคร ก่อนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้

ก่อนหน้านี้ทั้งสองผู้สมัครยังไม่เคยปะทะคารมแบบตัวต่อตัวกันมาก่อน แต่ในการดีเบตครั้งนี้ทั้งคู่จะต้องยืนอยู่บนเวทีเดียวกันที่ศูนย์การประชุม National Constitution Center ในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย เพื่อประชันวิสัยทัศน์กันเป็นเวลา 90 นาที และยังต้องตอบคำถามผู้ดำเนินรายการ 2 คนจากสถานีข่าว ABC News ได้แก่ เดวิด เมียร์ และลินซีย์ เดวิส คาดว่าจะมีคนอเมริกันเฝ้าหน้าจอชมการดีเบตครั้งนี้หลายสิบล้านคน ขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 เดือนก่อนการเลือกตั้ง

...

หมายความว่าการดีเบตรอบนี้มีเดิมพันสูง ทั้งคู่มีโอกาสชนะได้ เท่าๆกับที่มีโอกาสจะแพ้ได้ และมันมีผลต่อการตัดสินใจของชาวอเมริกันสำหรับการลงคะแนนที่จะเกิดขึ้น

ความพ่ายแพ้ของไบเดนในการโต้วาทีรอบแรก


การเผชิญหน้ากันในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ครั้งนี้ ถือเป็นการดีเบตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่สอง สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ผลงานที่ไม่ดีนักของนายไบเดน ในการดีเบตรอบแรก เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมาน่าจะเป็นการเตือนใจสำหรับสองผู้สมัครได้อย่างดี เพราะมันกลายเป็นชนวนเหตุที่ทำให้แคมเปญหาเสียงเลือกตั้งของประธานาธิบดีโจ ไบเดนต้องยุติลง 

ในตอนนั้นนายไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตพ่ายแพ้อย่างหมดรูปบนเวทีดีเบต ด้วยการพูดแบบขาดประโยคกลางคัน และไม่สามารถอธิบายประเด็นพูดคุยพื้นฐานได้ นำไปสู่ความกังวลมากขึ้นเรื่องอายุและความสามารถของประธานาธิบดี วัย 81 ปี และไม่ถึงหนึ่งเดือนต่อมา ไบเดนก็ประกาศถอนตัวจากการแข่งขันและส่งไม้ต่อให้คามาลา แฮร์ริส 

แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ประชาชนยังฝังใจกับเหตุการณ์ดีเบตในเดือนมิถุนายนที่ทำให้เกมเปลี่ยนไป โดยบาร์บารา เพอร์รี นักประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียที่ติดตามการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ  กล่าวว่า การดีเบต 90 นาทีครั้งนี้มีการเดิมพันสูงมากจริงๆ เพราะมันจะส่งผลต่อเนื่องกับการเลือกตั้งมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา

กลยุทธ์ของคามาลา แฮร์ริส

แคมเปญรณรงค์หาเสียงของคามาลา แฮร์ริส และโดนนัลด์ ทรัมป์ มีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยทรัมป์ชอบหาเสียงโจมตีแฮร์ริส ในขณะที่ดูเหมือนว่าทีมของแฮร์ริสจะเปิดโอกาสให้คำพูดของทรัมป์ทำร้ายตัวเขาเอง ก่อนหน้านี้ทีมงานของเธอพยายามเรียกร้องให้ผู้จัดปิดเสียงไมโครโฟนของทรัมป์ระหว่างคำถาม เพื่อให้ทรัมป์ไม่มีโอกาสพูดโต้แย้ง ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ความเงียบยิ่งอาจจะทำให้ทรัมป์มีท่าทีสงบนิ่งลงมากขึ้น เหมือนตอนที่ดีเบตกับไบเดนรอบที่แล้ว อย่างไรก็ตาม คำขอของแคมเปญแฮร์ริสที่ให้ปิดเสียงไมโครโฟนของทรัมป์ถูกปฏิเสธในท้ายที่สุด

แมทธิว เลเวนดัสกี ศาสตราจารย์รัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย กล่าวว่า ในการดีเบตครั้งนี้ สิ่งที่นางแฮร์ริสให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกคือการใช้เวทีดีเบตเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเธอเองและกลายเป็นที่สนใจต่อสาธารณชนชาวอเมริกัน หลังจากที่เธอเพิ่งเปิดตัวแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ 7 สัปดาห์ก่อน ทำให้เธอมีเวลาเป็นที่สนใจของประชาชนน้อยกว่าทรัมป์มาก

...

อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่า จากผลงานการดีเบตของนางแฮร์ริสในอดีตที่ผ่านมา ยังพอเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อการดีเบตที่จะมีขึ้นในครั้งนี้ 

โดยระหว่างการดีเบตเลือกตั้งขั้นต้น ของพรรคเดโมแครต เมื่อปี 2020 นางแฮร์ริสสามารถปล่อยมุขเบาๆโจมตีนายไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีในขณะนั้นได้ และตอนดีเบตด้านนโยบายในเวทีรองประธานาธิบดี ดวลกับไมค์ เพนซ์ ในปีเดียวกันเธอก็สามารถทำผลงานได้ดี 

นางแฮร์ริส อดีตอัยการเขต ของนครซานฟรานซิสโกและอัยการสูงสุดแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย มีสไตล์การพูดแถลงคดีที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอเคยใช้ระหว่างดำรงตำแหน่งในวุฒิสภา และการตอบคำถามที่ยากจะเข้าใจของเธอในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการวุฒิสภาทำให้เธอได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า นางแฮร์ริสจะนำความสามารถที่โดดเด่นนั้นมาใช้บนเวทีดีเบตกับทรัมป์ ซึ่งในขณะที่ทรัมป์อาจจะแสดงท่าทีแข็งแกร่งและดุดัน แต่เธอจะทำให้เห็นว่าสามารถโต้แย้งเขาได้ด้วยข้อมูลที่เตรียมมา แต่สิ่งที่ยังเป็นอันตรายสำหรับเธอคือ การเป็ฌนผู้หญิงผิวสี และต้องเอาชนะทัศนคติด้านเพศและเชื้อชาติ แต่เชื่อว่าเธอน่าจะทำออกมาได้ดี 

...

กลยุทธ์ของโดนัลด์ ทรัมป์

ในการดีเบตครั้งนี้ จะเป็นการขึ้นเวทีดีเบตเลือกตั้งทั่วไประดับชาติ ครั้งที่ 7 ของทรัมป์ ซึ่งมากกว่าผู้สมัครรายใดๆในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ โดยคาดว่าทรัมป์จะใช้กลยุทธิแบบเดิมในการดีเบต คือไม่ยอมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ใช้กับผู้สมัครคนอื่นๆ เพราะเขาถือว่า อย่างไรก็ตามบรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์ก็จะยังคงสนับสนุนพฤติกรรมของทรัมป์ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม 

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ทรัมป์ต้องขยายฐานผู้สนับสนุนออกไป เพื่อที่จะชนะการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ หมายความว่าทรัมป์ยังคงต้องดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้มากที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับชัยชนะ 

นอกจากนี้คาดว่าทรัมป์จะยังคงใช้ความสามารถบนเวทีโต้วาที จากประสบการณ์การเป็นดารารายการเรียลลิตีทีวี ทื่มีความเก่งกาจในการเป็นเป้าหมายที่พร้อมตอบโต้กลับตลอดเวลา และใช้การโจมตีแบบไม่ต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้คู่ต่อสู้สับสนได้ เรียกได้ว่าเป็นการใช้กลยุทธ์การดีเบตแบบคาดเดาไม่ได้ เหมือนเมื่อปี 2559 

ขณะเดียวกันคาดว่าทรัมป์จะใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์ทางการเมือง อย่างการลอบสังหารระหว่างหาเสียงที่เขารอดมาได้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และยังชูกำปั้นท้าทาย ที่ภาพถ่ายนี้กลายเป็นภาพที่มีประโยชน์ทางการเมืองมากที่สุดสำหรับเขา

...

สิ่งที่ชาวอเมริกันคาดหวังจากดีเบตนัดนี้

ในการดีเบตรอบที่แล้วสองผู้สมัคร ไบเดนและทรัมป์ต่างโจมตีกันในเรื่องส่วนตัวและลงลึกด้านนโยบายน้อยมาก หลายฝ่ายคาดหวังว่า เมื่อเปลี่ยนตัวไบเดนเป็นแฮร์ริส ประชาชนจะได้เห็นข้อแตกต่างด้านนโยบายและเข้าใจถึงจุดยืนทางการเมืองของสองผู้สมัครมากขึ้น 

ชาวอเมริกันบางคนที่เลือกไบเดนในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว บอกว่าอาจจะเปลี่ยนมาเลือกทรัมป์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยจะขอดูจากการดีเบตก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ บางคนมองว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นางแฮร์ริสยังไม่ได้ไปให้สัมภาษณ์ตามสื่อต่างๆมากพอที่จะทำให้ชาวอเมริกันหันมาสนใจเธอเลย 

ชาวอเมริกันที่กำลังคิดว่าอาจจะเปลี่ยนใจมาเลือกทรัมป์ต่างบอกว่า พวกเขาหวังว่าระหว่างการดีเบตทรัมป์จะคุมอารมณ์อยู่ ไม่สติแตกและไม่พูดข้อมูลเท็จออกมา และยังหวังว่าทรัมป์จะหันไปสนใจนโยบายที่สำคัญๆมากกว่าใช้เวลาในการพูดโจมตีคู่แข่ง

ในขณะเดียวกัน หลายคนบอกว่า แค่คิดก็เดาทางออกว่าแฮร์ริสจะเป็นนักโต้วาทีที่มีความสามารถอย่างมากเช่นเดียวกับที่เคยเป็นมา เพราะพวกเขายังจำการดีเบตของเธอกับไมค์ เพนซ์ เมื่อ 4 ปีที่แล้วได้ และรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นเธอปะทะกันแบบตัวต่อตัวกับทรัมป์ เพราะคาดหวังว่าจะมีใครซักคนบนเวทีที่สามารถตอบโต้ทรัมป์ได้โดยตรงและเป็นฝ่ายตรงข้ามกับทรัมป์จริงๆโดยไม่ไปติดกับดักคำพูดของทรัมป์ ทำให้ต้องใช้เวลาไปอีกมากในการตอบโต้เหมือนที่หลายคนเคยเป็นมาแล้ว.