• ยูเครนเปิดฉากส่งทหารบุกโจมตีดินแดนของรัสเซียโดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และสามารถยึดพื้นที่และหมู่บ้านต่างๆ ได้หลายสิบแห่ง

  • นักวิเคราะห์มองว่า การโจมตีของยูเครนมีจุดประสงค์หลายอย่าง รวมถึงสร้างขวัญกำลังใจแก่ทหารยูเครน ซึ่งกำลังถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคดอนบาส

  • ขณะที่ผลลัพธ์จากการโจมตียังไม่แน่ชัด แต่ปฏิบัติการนี้กำลังแสดงให้โลกเห็นว่า ยูเครนยังมีศักยภาพที่จะโจมตีรัสเซีย และเปลี่ยนแปลงทิศทางของสงครามได้

เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ยูเครนทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน นั่นคือการส่งทหารจำนวนมากบุกเข้าสู่ดินแดนของรัสเซีย และมันกลายเรื่องใหญ่มากถึงขั้นที่ วลาดิเมียร์ ปูติน ต้องเรียกประชุมฉุกเฉินกับเหล่าที่ปรึกษา และแม่ทัพนายพล เพื่อหากองทหารไปสู้รบในสมรภูมิแห่งใหม่ ที่คราวนี้อยู่ภายในประเทศของพวกเขาเอง

การโจมตีของยูเครนกำลังส่งสัญญาณอะไร? นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า นี่เป็นการตอบโต้อันยอดเยี่ยม ช่วยผ่อนคลายและสร้างขวัญกำลังใจแก่ทหารยูเครน ซึ่งกำลังถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคดอนบาส ทางตะวันออกของประเทศ แต่บางคนก็มองว่าเป็นการเดิมพันความเสี่ยงสูง และอาจเผชิญการตอบโต้อย่างหนักจากรัสเซีย

แต่ที่ชัดเจนก็คือ ปฏิบัติการโจมตีในแคว้นคูร์สก์ของรัสเซีย แสดงให้เห็นว่ายูเครนมีขีดความสามารถในการดำเนินปฏิบัติการสู้รบขนาดใหญ่ในดินแดนของรัสเซีย โดยเป็นการโจมตีที่ทั้งรวดเร็วและรุนแรง จนสามารถยึดพื้นที่ขนาดเล็กเอาไว้ได้ และทำให้ชาวรัสเซียนับแสนคนต้องอพยพ

ความเสียหายจากการโจมตีของยูเครน
ความเสียหายจากการโจมตีของยูเครน

...

ยูเครนส่งทหารข้ามชายแดนโจมตีรัสเซีย

กองทัพยูเครนเปิดฉากโจมตีภายในแคว้นคูร์สก์ ของรัสเซีย เมื่อวันที่ 6 ส.ค. สร้างเซอร์ไพรส์ให้แก่มอสโกและทั่วโลก เนื่องจากไม่มีใครคาดคิดว่ายูเครนซึ่งกำลังถูกรัสเซียโจมตีกดดันอย่างหนักในภาคตะวันออก จะกล้าส่งทหารไปโจมตีถึงในบ้านของรัสเซีย

แหล่งข่าวในยูเครนบอกกับสื่อว่า ปฏิบัติการดังกล่าวประกอบด้วยหน่วยต่างๆ ซึ่งติดตั้งยุทโธปกรณ์เพียบพร้อม เช่น กองพลยานเกราะที่ 22 และหน่วยพิทักษ์ดินแดน โดยได้รับการสนับสนุนจาก หน่วยปืนใหญ่, รถถัง และโดรน มีทหารหลายพันนายเข้าร่วม และขอบเขตการโจมตีกว้างไกลกว่าการโจมตีข้ามพรมแดนครั้งใดๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต

ก่อนหน้านี้ กระทรวงกลาโหมของรัสเซียออกมายอมรับกลายๆ ว่า ทหารยูเครนบุกรุกเข้าไปในดินแดนของพวกเขาได้ไกลถึง 30 กม. จากชายแดนแล้ว เนื่องจากกำลังมีการปะทะกันใกล้หมู่บ้านโทลปิโน (Tolpino) และหมู่บ้านออบช์คี โคโลเดซ (Obshchy Kolodez) ซึ่งห่างจากชายแดนยูเครน-รัสเซีย 25 กม. กับ 30 กม. ตามลำดับ

ต่อมาในวันจันทร์ (12 ส.ค.) นายอเล็กเซย์ สเมียร์นอฟ รักษาการผู้ว่าการแคว้นคูร์สก์ ก็ยอมรับว่า ตอนนี้หมู่บ้าน 28 แห่งในแคว้นของเขาตกอยู่ในการควบคุมของยูเครน ขณะที่ประชาชน 121,000 คน ต้องอพยพไปยังที่ปลอดภัย แต่ยังเหลืออีกราว 2,000 คน ในพื้นที่ที่กองทัพยูเครนยึดครอง ซึ่งพวกเขายังไม่ทราบชะตากรรมของคนกลุ่มนี้

ขณะเดียวกัน นายวียาเชสลาฟ กลาดคอฟ ผู้ว่าการแคว้นเบลโกรอด ซึ่งอยู่ติดกัน เปิดเผยว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขตคราสโนยารุสกี กำลังถูกเคลื่อนย้ายไปยังที่ที่ปลอดภัยกว่า หลังจากศัตรูมีความเคลื่อนไหวบริเวณชายแดน โดยตอนนี้มีประชาชนอพยพไปแล้ว 11,000 คน

ด้าน พลเอกโอเลกซานเดอร์ ซีร์สกี ประธานคณะเสนาธิการทหารกองทัพยูเครน ออกมาอ้างว่า ทหารของพวกเขาควบคุมพื้นที่ภายในดินแดนรัสเซียได้แล้ว 1,000 ตร.กม. จากการโจมตีตลอด 7 วันที่ผ่านมา

พื้นที่สีเหลือคือดินแดนที่ยูเครนยึดครอง ส่วนพื้นที่สีแดงคือดินแดนที่รัสเซียยึดครอง (Cr ภาพ : Center for European Policy Analysis / Liveuamap)
พื้นที่สีเหลือคือดินแดนที่ยูเครนยึดครอง ส่วนพื้นที่สีแดงคือดินแดนที่รัสเซียยึดครอง (Cr ภาพ : Center for European Policy Analysis / Liveuamap)

ยูเครนมีเป้าหมายอะไร?

ในทางยุทธศาสตร์ การโจมตีของยูเครนมีเป้าหมายได้หลายอย่างมาก ข้อแรกคือการสร้างเขตกันชนที่สามารถปกป้องชายแดนยูเครนในภูมิภาคจากการโจมตีด้วยปืนใหญ่ของรัสเซียได้ ซึ่งจะเป็นการลดความสูญเสียต่อพลเรือนและความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานลงไปอีก

ข้อที่ 2 คือเพื่อเบี่ยงเบนกองกำลังของรัสเซียไปจากแนวหน้าสำคัญในภาคตะวันออกของประเทศ ซึ่งกองทัพของยูเครนกำลังพยายามป้องกันการรุกคืบของรัสเซียอย่างยากลำบาก โดยการที่รัสเซียต้องส่งทหารไปป้องกันคูร์สก์ ทำให้ยูเครนสามารถลดแรงกดดันของทหารฝ่ายตัวเอง และสร้างโอกาสฝ่าแนวป้องกันของรัสเซียที่จุดอื่น

ปฏิบัติการของยูเครนยังมีผลเชิงจิตวิทยาและทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ โดยนายดั๊ก ลิเวอร์มอร์ จากศูนย์วิเคราะห์นโยบายยุโรป (CEPA) มองว่า ยูเครนนำการต่อสู้เข้าสู่ดินแดนรัสเซีย ก็เพื่อทำลายภาพลักษณ์ของสงครามที่รัฐบาลรัสเซียบอกกับประชาชน เพื่อลดการสนับสนุนสงครามภายในรัสเซีย

เจ้าหน้าที่ยูเครนหลายคนย้ำว่า การโจมตีนี้ไม่ใช่แค่การตอบโต้ธรรมดา แต่เป็นความเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนดุลอำนาจ และเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเจรจา สำหรับการเจรจาสันติภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ขณะที่สถาบันศึกษาสงคราม (ISW) ชี้ว่า การโจมตีของยูเครนยังดึงทหารเกณฑ์ของรัสเซียออกมาสู้รบในแนวหน้าด้วย จากเดิมที่ทหารใหม่จะได้รับการยกเว้นไป ต้องไปสู้รบโดยตรงในยูเครน โดยคาดหวังว่าเมื่อทหารใหม่เหล่านี้จะประสบความพ่ายแพ้ยับเยินเพื่อเผชิญหน้ากับทหารเจนศึกของยูเครน

...

ประชาชนนับแสนบริเวณชายแดนรัสเซียต้องอพยพ
ประชาชนนับแสนบริเวณชายแดนรัสเซียต้องอพยพ

กู้หน้าจากความล้มเหลวครั้งก่อน

นายลิเวอร์มอร์ระบุว่า ปฏิบัติการโจมตีล่าสุดของยูเครน แม้จะมีขอบเขตจำกัด แต่มันตรงกันข้ามกับปฏิบัติการโต้กลับเมื่อฤดูร้อนปี 2566 อย่างสิ้นเชิง โดยปฏิบัติการในครั้งนั้นเรียกได้ว่าล้มเหลว หลังเผชิญอุปสรรคมากมาย ร่วมถึงการตั้งรับอย่างแน่นหนาของรัสเซีย, ทุ่งกับระเบิด และการสนับสนุนทางอากาศที่ไม่เพียงพอ จนทัพยูเครนรุกคืบไม่ได้

แต่ปฏิบัติการครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นพัฒนาการด้านปฏิบัติการอย่างมีนัยสำคัญ กองทัพยูเครนโจมตีจุดที่การป้องกันของรัสเซียอ่อนเป็นพิเศษ และแสดงให้เห็นความร่วมมือระหว่างหน่วยรบที่ดียิ่งขั้น โดยเฉพาะการสนธิกำลังกันของหน่วยยานเกราะ, ปืนใหญ่, การทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์ และการสนับสนุนจากโดรน ทำให้ยูเครนบุกคืบหน้าอย่างรวดเร็ว

อนึ่ง นายอเล็กซ์ อาโตปูลอส บรรณาธิการข่าวด้านความมั่นคงของอัลจาซีรา เผยว่า ยุทธศาสตร์สำคัญของยูเครนในการโจมตีแคว้นคูร์สก์ คือการใช้โดรนมุมมองบุคคลที่ 1 (FPV) ซึ่งมีต้นทุนต่ำ คอยสกัดโดรนของรัสเซีย

นอกจากนั้น การวางแผนด้านการขนส่งสรรพกำลังเบื้องหลังปฏิบัติการที่แคว้นคูร์สก์ก็ทำได้ดีกว่าเดิมมาก กองทัพยูเครนยังคงสามารถบุกโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นปฏิบัติการบนแผ่นดินของต่างชาติ

แน่นอนว่า ปฏิบัติการโจมตีในแคว้นคูร์สก์ก็มีความเสี่ยงสูง การเคลื่อนไหวในดินแดนของรัสเซียจะต้องเผชิญอุปสรรคด้านการขนส่งยุทโธปกรณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการขยายแนวหน้าการปะทะ หมายความว่าต้องใช้ทหารมากขึ้น นอกจากนั้นทหารยูเครนยังต้องรับมือกับการโจมตีตอบโต้ของรัสเซีย ที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนี้ด้วย

...

ปูตินประชุมเครียดกับเหล่าที่ปรึกษาและเจ้าหน้าที่ความมั่นคง
ปูตินประชุมเครียดกับเหล่าที่ปรึกษาและเจ้าหน้าที่ความมั่นคง

การโจมตีนี้จะส่งผลต่อทิศทางสงครามหรือไม่?

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยูเครนได้รับจากปฏิบัติการโจมตีนี้ไปแล้วคือ การแสดงให้เห็นความสามารถในการบุกของพวกเขา ซึ่งท้าทายคำครหาที่ว่า ยูเครนไม่สามารถโจมตีตอบโต้รัสเซียได้ด้วยตัวเอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มของสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียหลังจากนี้

นายชอน เบลล์ นักวิเคราะห์การทหารและอดีตนักบินเครื่องบินขับไล่ บอกกับ อัลจาซีรา ว่า การโจมตีของยูเครนสามารถเปลี่ยนกระแสของสงครามได้ แม้หลายคนจะมองว่ายูเครนกำลังบุ่มบ่าม แต่โมเมนตัมและการริเริ่มก่อน คือทุกสิ่งทุกอย่างในการทำสงคราม และการโจมตีของยูเครนทำให้ทุกคนไม่ทันตั้งตัว

ตอนนี้รัสเซียเริ่มเสริมกำลังตามจุดต่างๆ ในแคว้นคูร์สก์แล้ว ซึ่งนายอาโตปูลอส กล่าวว่า ยูเครนจำเป็นต้องส่งทหาร, รถถัง และทรัพยากรต่างๆ เข้าไปมากกว่านี้ หากต้องการรักษาสถานะปัจจุบันในแคว้นคูร์สก์เอาไว้ และหากพวกเขาสามารถต้านทานการตอบโต้ของรัสเซียได้ พวกเขาก็จะมีข้อต่อรองที่ดีในการเจรจาสันติภาพ

แต่หากรัสเซียสามารถป้องกัน หรือขับไล่ยูเครนแล้วชิงพื้นที่ที่เสียไปกลับมาได้ ปฏิบัติการนี้ก็อาจถือได้ว่าล้มเหลวเหมือนแคมเปญฤดูร้อนในปี 2566 นอกจากนั้นยังมีโอกาสที่รัสเซียจะใช้นิวเคลียร์เชิงยุทธวิธีเล่นงานยูเครนในกรณีที่เข้าตาจนจริงๆ ซึ่งจะทำให้สงครามยกระดับไปอีกขั้นด้วย

แต่นายลิเวอร์มอร์เชื่อว่า หากปฏิบัติการตอบโต้ในปี 2566 แสดงถึงความอ่อนแอของยูเครน การโจมตีครั้งล่าสุดนี้ก็ทำให้ทั้งชาติพันธมิตรและศัตรูของยูเครนต้องประเมินพวกเขาใหม่ แม้จะมีความท้าทายอีกมาก แต่ความสำเร็จในปฏิบัติการโจมตีแคว้นคูร์สก์ตอกย้ำว่า ยูเครนยังมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงสมรภูมิ รวมถึงผลลัพธ์ของสงครามครั้งนี้ได้





ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : aljazeeracepa

...