จริงไม่จริงที่ว่า “วิกฤติแบล็กมันเดย์รอบใหม่” ทุบหุ้นดิ่งทั่วโลกเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อาจเป็นหัวเชื้อฟองสบู่แตกครั้งใหม่?! “เจเรมี แกรนธัม” เซียนหุ้นระดับตำนานโลก เตือนอะไรไว้บ้าง และแม่นเหลือเชื่อขนาดไหน
หลายครั้งที่เซียนหุ้นรุ่นใหญ่ออกโรงเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังตัว เพราะเห็นสัญญาณวิกฤติล่วงหน้าก่อนคนอื่น เขาสร้างชื่อให้ตัวเองจากการคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำเรื่องการแตกของฟองสบู่ดอท-คอม ในปี 2000 และการปะทุของวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 ที่ลุกลามไปทั่วโลก
ไม่กี่เดือนก่อนจะเกิด “วิกฤติแบล็กมันเดย์ครั้งล่าสุด” เซียนหุ้นรุ่นเดอะออกโรงเตือนว่า ฟองสบู่ลูกใหญ่ในภาคการเงินกำลังจะแตก และความปั่นป่วนในภาคธนาคารเมื่อช่วงต้นปีนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
คุณปู่แกรนธัมให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า จะมีสิ่งอื่นๆที่จะแตกและยังไม่มีใครรู้ว่าเป็นส่วนไหน ปัญหาแรงกดดันที่มีต่อระบบการเงินจะไม่จบลงแค่นี้ การคาดการณ์ที่ดีที่สุดที่คาดหวังได้คือ การดิ่งลงของดัชนี S&P 500 อีกประมาณ 27% จากระดับปัจจุบัน ตรงกันข้ามถ้าเป็นภาพเลวร้ายที่สุดก็คือ เราอาจเห็นการดิ่งลงของดัชนีนี้อีกกว่า 50% โดยจุดต่ำสุดอาจจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงช่วงท้ายๆของปีหน้า
ภาคการเงินกำลังจะแตกฟองสบู่ลูกใหม่ขนาดมหึมา ฉุดตลาดหุ้นสหรัฐฯให้มีโอกาสดิ่งลงอีก 50% นี่มันฝันร้ายชัดๆ!!
คุณปู่ขยายความว่า การล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ คือตัวอย่างหนึ่งที่เกิดจากปัญหาการขาดทุนจากการถือครองพันธบัตรตราสารหนี้ในช่วงที่ดอกเบี้ยพุ่งขึ้นสูง จนทำให้มูลค่าราคาตราสารหนี้เหล่านี้ร่วงลง
...
จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา หัวเชื้อของฟองสบู่แตกมักเกิดจากความกล้าเกินตัวของนักลงทุนที่กู้ยืมเงินมากเกินไป โดยได้แรงจูงใจจากภาวะดอกเบี้ยที่ต่ำมาก เพื่อมาซื้อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และต่อยอดธุรกิจมากขึ้น ส่งผลให้ทุกสินทรัพย์ในโลกพุ่งทะยานขึ้นร้อนแรงเกินปัจจัยพื้นฐานที่เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็น ตลาดหุ้น, ราคาพันธบัตรรัฐบาล, อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้กระทั่งเงินคริปโต กระทั่งถึงจุดอิ่มตัวฟองสบู่เริ่มยุบลง หรือระเบิดออก ราคาสินทรัพย์ต่างๆจะรูดลงอย่างรวดเร็วชนิดตั้งตัวกันไม่ทัน สร้างความเจ็บปวดอย่างสาหัสให้เหล่านักลงทุนที่ฮึกเหิมลืมตัว
ซึ่งหากคำทำนายของคุณปู่แกรนธัมเป็นจริง เมื่อฟองสบู่รอบใหม่เริ่มอ่อนตัวยุบลง สิ่งที่ตลาดจะได้เห็นต่อไปก็คือการชะลอตัวลงและเข้าสู่ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจอเมริกา
ท่ามกลางความเสี่ยงของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ที่ส่งสัญญาณชัดจากตัวเลขการจ้างงานที่ลดลง และอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับค่าครองชีพที่พุ่งเอาๆเพราะการปะทุขึ้นของเงินเฟ้อ อาจหนุนส่งให้ “โดนัลด์ ทรัมป์” จากพรรครีพับลิกัน มีภาษีเหนือกว่าคู่แข่งต่างวัย “กมลา แฮร์ริส” จากพรรคเดโมแครต ในการชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี เพราะทรัมป์เคยสร้างชื่อจากการปลุกปั้นเศรษฐกิจให้ชาวมะกันได้กินดีอยู่ดีมาแล้ว และมีความเก๋าในการสู้รบปรบมือกับผู้นำโลกได้อย่างทันเกม
ตลอดการเดินสายหาเสียงที่ผ่านมา ทรัมป์พุ่งเป้าโจมตีเรื่องผลงานทางเศรษฐกิจของรัฐบาลโจ ไบเดน โดยเปิดฉากเล่นงานลุงโจในศึกดีเบตครั้งแรกว่า ประธานาธิบดีไบเดนทำงานได้ไม่ดีพอ เขาทำงานได้แย่ และเงินเฟ้อกำลังฆ่าประเทศของเรา และกำลังฆ่าพวกเราทุกคน ขณะที่ฝ่ายลุงโจตอบอ้อมแอ้มว่า จริงอยู่ที่ว่าเงินเฟ้อได้ผลักให้ราคาสินค้าและต้นทุนทุกอย่างสูงขึ้นมาก แต่อย่างน้อยก็ควรให้เครดิตเขาที่เป็นผู้นำสิ่งต่างๆให้กลับเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง หลังโลกเผชิญกับการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19
มองต่างมุมในทัศนะของกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล กลับเห็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นหากทรัมป์ชนะเลือกตั้งได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัยที่สอง เพราะจะทำให้เงินเฟ้อทะยานขึ้นอีกครั้งแน่ๆ อันเนื่องมาจากนโยบายไร้ความรับผิดชอบ เช่น การเสนอลดภาษีที่เคยทำไว้ในสมัยแรกเป็นการถาวร, เก็บภาษีสินค้านำเข้าทุกชนิด โดยเฉพาะสินค้านำเข้าจากจีน ในอัตราสูงลิ่ว 60-100% และกดดันคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ลดดอกเบี้ย
อยากจับทรัมป์, ไบเดน และกมลา มาเขย่ารวมกันคงได้ผู้นำโลกคนใหม่ที่เจนจัดแต่รอบคอบกำลังดี.
มิสแซฟไฟร์
คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม