"อินเทล" บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ ประกาศเตรียมเลิกจ้างพนักงานกว่า 17,500 คนทั่วโลก เพื่อหวังลดต้นทุน 

"อินเทล" บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ เปิดเผยว่าจะเลิกจ้างพนักงานมากกว่า 15% หรือประมาณ 17,500 คน และระงับการจ่ายเงินปันผลตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 เป็นต้นไป เนื่องจากบริษัทกำลังพยายามพลิกฟื้นธุรกิจการผลิตที่กำลังขาดทุน

บริษัทยังคาดการณ์รายได้ในไตรมาสที่ 3 ว่าต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เนื่องจากการใช้จ่ายด้านเซมิคอนดักเตอร์ และมุ่งเน้นไปที่ชิปเอไอ ซึ่งบริษัทยังตามหลังคู่แข่ง

หุ้นของอินเทล ปรับตัวลดลง 20% ในการซื้อขายระยะยาว ทำให้บริษัทสูญเสียมูลค่าตลาดไปกว่า 24,000 ล้านดอลลาร์ ส่วน Nvidia ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ และ AMD ซึ่งเป็นคู่แข่งรายเล็กกว่า หุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังปิดตลาด ซึ่งเน้นย้ำให้เห็นถึงข้อได้เปรียบในการใช้ประโยชน์จากการเติบโตของเอไอ และข้อเสียเปรียบของอินเทล

แพต เกลซิงเกอร์ ซีอีโออินเทล กล่าวถึงการเลิกจ้างพนักงานว่า เขาต้องการลดจำนวนพนักงานที่สำนักงานใหญ่ และต้องการพนักงานในภาคสนามมากขึ้น และงานด้านการสนับสนุนลูกค้า ส่วนเรื่องการระงับจ่ายเงินปันผล เขากล่าวว่า เป้าหมายของบริษัทคือจ่ายเงินปันผลที่สามารถแข่งขันได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ในขณะนี้จะเน้นที่งบดุลเพื่อลดภาระหนี้

ทั้งนี้ อินเทล ซึ่งจ้างพนักงาน 116,500 คน ณ วันที่ 29 มิ.ย. โดยไม่รวมบริษัทสาขาบางแห่ง กล่าวว่าการเลิกจ้างพนักงานส่วนใหญ่จะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2567 

อินเทลกำลังอยู่ในช่วงกลางของแผนฟื้นฟูกิจการ โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโปรเซสเซอร์เอไอขั้นสูง และสร้างความสามารถในการผลิตเพื่อจ้างงาน เนื่องจากมีเป้าหมายที่จะกอบกู้ความได้เปรียบทางเทคโนโลยีที่เสียให้กับ TSMC ของไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

...

นอกจากนั้น อินเทลยังประกาศว่าจะลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และลดค่าใช้จ่ายด้านทุนลงมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2568 ซึ่งมากกว่าที่วางแผนไว้ในตอนแรก ขณะที่บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 11,290 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนี้สินหมุนเวียนรวมประมาณ 32,000 ล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 29 มิถุนายน

ตำแหน่งของอินเทลในตลาดชิปเอไอ ที่ยังคงล้าหลัง ยังทำให้ราคาหุ้นของบริษัทลดลงมากกว่า 40% ในปีนี้ สำหรับไตรมาสที่ 3 อินเทลคาดการณ์รายได้อยู่ที่ 12,500-13,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับประมาณการเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ที่ 14,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ.

ที่มา Reuters

ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign