รัฐบาลเพื่อไทยเพิ่งประกาศให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางการเงิน” (Financial Hub) ไปหมาดๆ ไม่รู้เป็น ศูนย์กลางการเงินอาเซียน หรือ เอเชีย วันนี้ผมจะพาท่านผู้อ่านไปเยี่ยมชม สิงคโปร์ ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็น “ศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชีย” โดยไม่ต้องประกาศ จากเกาะเล็กๆที่ไม่มีทรัพยากรอะไรเลย นายลีกวนยู ผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ ได้สร้างทรัพยากรอันมีค่าขึ้นมาแทนคือ “ทรัพยากรคน” ที่ มีความรู้ มีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ ไม่ทรยศชาติด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน ทำให้สิงคโปร์ผงาดขึ้นมาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างรวดเร็ว วันนี้คนสิงคโปร์มีรายได้ต่อหัว 88,000 ดอลลาร์ สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก ขณะที่ คนไทยมีรายได้ต่อหัว 7,800 กว่าดอลลาร์ ห่างจากสิงคโปร์กว่า 10 เท่า และเป็น “ประเทศรายได้ปานกลาง” มานานหลายสิบปีแล้ว

แม้สิงคโปร์จะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ก็ยังพัฒนาคนด้วยการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เหนือกว่าคู่แข่งทุกประเทศในโลก ขณะที่ ระบบการศึกษาไทยกลับปล่อยให้เด็ก “หลุดจากการศึกษา” ไปกว่าล้านคน ให้เป็นคนที่ไม่มีอนาคตและเป็นปัญหาของชาติ

สิงคโปร์เพิ่งมีอายุ 65 ปี ยังไม่ถึง 2 ชั่วอายุคน แต่ นายกฯสิงคโปร์ 3 คนที่ผ่านมาสามารถสร้างสิงคโปร์ให้เป็นประเทศพัฒนาแล้วในอันดับต้นๆของโลก คนสิงคโปร์วันนี้รวยกว่าสหรัฐฯที่เป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก รวยกว่าอังกฤษที่เคยเป็นเจ้าอาณานิคม สิ่งสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น ก็คือ “การศึกษา” เพื่อสร้างคนที่มีคุณค่าในทุกมิติ ข้าราชการสิงคโปร์ทุกคน ต้องเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถและมือสะอาด สิงคโปร์ไม่มีหน่วยงานปราบคอร์รัปชันมากเท่าไทย จนคอร์รัปชันกันเสียเอง แต่สิงคโปร์ใช้วิธีการปราบข้าราชการคอร์รัปชันด้วยการตรวจสอบทรัพย์สินที่มีอยู่ตามฐานะ และการใช้ชีวิตประจำวันตามฐานะ ถ้าพบว่ามีการใช้ชีวิตรํ่ารวยผิดปกติ มีรถหรู มีบ้านราคาเป็นร้อยล้าน รับรองว่าถูกตรวจสอบและลงโทษแน่นอน

...

รัฐบาลสิงคโปร์ ไม่เพียง พัฒนาประเทศด้วยการศึกษาที่ดีอย่างต่อเนื่อง แต่ยัง สร้างมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนด้วย 20 ปีที่ผ่านมาเงินเดือนคนสิงคโปร์ที่ทำงานเต็มเวลาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 43% ขณะที่เงินเดือนชาวอเมริกันเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียง 8% ในช่วงเวลาเดียวกัน เงินเดือนคนสิงคโปร์ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 46,000 ดอลลาร์ต่อปี สูงกว่าอังกฤษเจ้าอาณานิคม ซึ่งปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 44,000 ดอลลาร์ต่อปี

การบริหารประเทศที่โปร่งใส มีข้าราชการมือสะอาด มีทรัพยากรคนที่มีทักษะ มีความรู้ความสามารถ มีความโดดเด่นด้านการเงินการลงทุนทำให้สิงคโปร์ขยับฐานะขึ้นเป็น “ศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชีย” แข่งกับ ฮ่องกง อย่างเต็มตัว โดยไม่ต้องประกาศยกตัวเอง ปี 2017 สิงคโปร์มีธุรกิจด้านการบริหารจัดการความมั่งคั่ง (Wealth Management) ให้กับมหาเศรษฐีทั่วโลกราว 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 87 ล้านล้านบาท) แต่ก็ยังห่างชั้นฮ่องกงมาก แต่สิ้นปี 2022 ธุรกิจบริหารความความมั่งคั่งของสิงคโปร์ขยับขึ้นมาตามห่างฮ่องกงแค่ 8% เท่านั้นโรงแรม 5 ดาวในกรุงเทพฯทุกวันนี้ มาร์เก็ตติ้งของธนาคารในสิงคโปร์และฮ่องกงบินมาพบลูกค้าคนไทยกันให้ควั่ก

นอกจากคนสิงคโปร์จะรวยแล้ว ธนาคารกลางสิงคโปร์ก็รวยล้น มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 369,000 ล้านดอลลาร์ Temasek บริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ก็รวย ปีที่แล้วมีสินทรัพย์กว่า 287,000 ล้านดอลลาร์ GIC กองทุนความมั่งคั่งของสิงคโปร์ (Singapore Sovereign Wealth Fund) ก็รวย มีทรัพย์สินกว่า 769,000 ล้านดอลลาร์ รวยอันดับ 6 ของโลก

ผมก็เอามาให้ดูเป็นตัวอย่าง ประเทศที่เป็น “ศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชีย” เขามีองค์ประกอบอะไรบ้าง ไม่ใช่อยู่ๆก็ลุกขึ้นมาประกาศเป็น Financial Hub ทั้งที่กำลังถังแตกต้องกู้เงินมาใช้ ต้องกู้เงินมาแจกประชาชนที่ยากจน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องตั้งกองทุนลดหย่อนภาษีเพื่ออุ้มตลาดหุ้น แล้วจะเป็น Financial Hub ได้อย่างไร

ป.ล. ขออภัยท่านผู้อ่านที่ผมเขียนในฉบับวันพุธ 31 ก.ค. ว่า ลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ตคืนนี้ ซึ่งเป็นกำหนดเดิม จู่ๆก็เปลี่ยนเป็น 8 โมงเช้า 1 ส.ค. แต่เที่ยง 31 ก.ค. ก็มีข่าว แอปทางรัฐ ล่ม.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ "หมายเหตุประเทศไทย" เพิ่มเติม