หลังจากมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีสงครามย่อยตามมาหลายแห่ง เช่น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม ฯลฯ เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ประเทศอภิมหาอำนาจไม่อยากรบกันเอง ก็ใช้แผ่นดินของประเทศอื่นเป็นสมรภูมิทำสงครามตัวแทน แทบทุกความขัดแย้งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็น ตอนนั้นคนบนโลกก็กลัวกันมาก กลัวว่าจะเกิดสงครามใหญ่ซึ่งเสมือนกับสงครามโลกครั้งที่ 3 ระหว่างสหรัฐฯกับสหภาพโซเวียต

สงครามเย็นดำเนินอย่างต่อเนื่องมานานเกือบ 50 ปี ค.ศ.1945-1991 มีการโฆษณาชวนเชื่อทำสงครามจิตวิทยาหาพวก สะสมอาวุธร้ายแรงข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม มีการตั้งองค์กรตอบโต้กัน สหรัฐฯและพันธมิตรยุโรปตะวันตกตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต สหภาพโซเวียตตั้งองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ

สหรัฐฯและโซเวียตสร้างความกังวลใจให้ชาวโลกด้วยการสะสมและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ จนกระทั่งเริ่มมีนโยบายการ ผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการปรับนโยบายต่างประเทศ หันมา สร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มีการร่วมมือกันในด้านเศรษฐกิจ สังคม การค้า และวัฒนธรรม ที่สำคัญคือมีการเจรจาจำกัดอาวุธทางยุทธศาสตร์ครั้งที่ 1 (SALT 1) เมื่อ ค.ศ.1972 และเจรจาจำกัดอาวุธทางยุทธศาสตร์ครั้งที่ 2 (SALT 2) เมื่อ ค.ศ.1979

จนกระทั่งโซเวียตล่มสลายเมื่อธันวาคม 1991 สงครามเย็นก็สิ้นสุดลงอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สหภาพโซเวียตไม่มีแล้ว สหพันธรัฐรัสเซียเป็นประเทศผู้สืบสิทธิสหภาพโซเวียต บุคคลที่ได้ชื่อว่าทำลายสงครามเย็นก็มีโรนัลด์ เรแกน และจอร์จ บุช ซึ่งทั้งสองเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ นางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และมิฮาอิล กอร์บาชอฟ ประธานาธิบดีและประธานคณะผู้บริหารสูงสุดของรัฐสภาโซเวียตแห่งสหภาพโซเวียต

เหตุการณ์หมุนเวียนเปลี่ยนไป โลกเบาใจอยู่ได้ประมาณ 30 ปี รัสเซียแข็งแรงขึ้นด้วยการบริหารของปูติน จีนก็แข็งแรงขึ้น ด้วยการบริหารของสีจิ้นผิง อินเดียก็ผงาดขึ้นด้วยการบริหารของโมดี สหรัฐฯและตะวันตกตระหนักดีว่า ถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ก็จะมีมหาอำนาจใหม่ขึ้นมาดูแลโลก หากโลกมีมหาอำนาจหลายขั้ว สหรัฐฯและตะวันตกก็ไม่สามารถคุมโลกได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จึงต้องคิดสงครามกันขึ้นมาใหม่

...

ขอทำนายทายทักว่ามหาสงครามมีโอกาสเกิดขึ้นสูง โดยเริ่มจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ให้สหรัฐฯถอนตัวออกจากสนธิสัญญากำลังนิวเคลียร์พิสัยกลางเมื่อ ค.ศ.2019 พอยุคของไบเดนก็มีการสร้างสงครามรัสเซีย-อูเครน มีการฮึ่มฮั่มที่จะใช้ไต้หวันก่อประเด็นสร้างความขัดแย้งกับจีน

สหรัฐฯยอมรับเมื่อ 10 กรกฎาคม 2024 ว่าจะเริ่มประจำขีปนาวุธพิสัยไกลในเยอรมนีอย่างเป็นขั้นเป็นตอนใน ค.ศ.2026 ขีปนาวุธพวกนี้ทำการไกลมากกว่าระบบอาวุธของสหรัฐฯที่ประจำการในยุโรปอยู่ในปัจจุบัน สหรัฐฯยังพูดถึงอาวุธที่จะประจำเยอรมนีอย่างอื่นอีก เช่น ขีปนาวุธต่อต้านทางอากาศ SM-6 ซึ่งมีพิสัยทำการสูงสุด 460 กิโลเมตร รวมทั้งขีปนาวุธร่อนโทมาฮอว์กซึ่งสามารถโจมตีเป้าหมายได้ไกลกว่า 2,500 กิโลเมตร และอาวุธความเร็วระดับไฮเปอร์โซนิกที่เร็วกว่าเสียง 5 เท่าตัว

สหรัฐฯประกาศอย่างนี้ รัสเซียคงจะอยู่เฉยไม่ไหว ก็ต้องเร่งสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะใช้สู้กัน เป็นที่แน่ชัดถนัดแล้วว่าโลกจะกลับไปสู่ยุคสะสมอาวุธและการสู้รบ แต่การสู้รบในทศวรรษนี้หรือทศวรรษหน้าอานุภาพการทำลายล้างจะยิ่งกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 รวมกันหลายเท่า

ประเทศเล็กชาติน้อยจะถูกบังคับให้เลือกฝ่าย ใครเลือกผิดก็มีโอกาสที่จะสิ้นชาติแบบเดียวกับมหาอาณาจักรออตโตมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือมีโอกาสจะย่อยยับอับปาง ประชาชนจะล้มหายตายเป็นผีนับแสนคนอย่างญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2

แทนที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะทำให้ประชาชนคนทั่วไปมีความสุขขึ้น กลับทุกข์มากขึ้น คนตกงานมากขึ้น สินค้าต่างๆแพงขึ้น ชีวิตของคน การบริหารครอบครัว และประเทศชาติบ้านเมืองเหมือนการเล่นการพนันเข้าไปทุกวัน ไม่มีความแน่นอน มีแต่ความเสี่ยง แทงผิดชีวิตเปลี่ยน

ประเทศชาติบ้านเมืองไหนเอาไอ้ปื๊ดอีเปี๊ยกลูกเจ๊น้องก้นซอยสอง ที่ขาดความรู้ ประสบการณ์มาบริหารในภาวะวิกฤติก็เตรียมเผชิญกับหายนะ.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com

คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม