ไม่เฉพาะเมืองไทยที่หาผู้นำประเทศทั้งเก่งทั้งดีสมใจประชาชนไม่ได้ เพราะแม้แต่มหาอำนาจใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ก็มีแต่คนวัยชราภาพหน้าเดิมๆลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี มันช่างชวนสิ้นหวัง!!

พลาดท่าเสียทีในการดีเบตประชันวิสัยทัศน์ครั้งแรกกับคู่แข่งพรรครีพับลิกัน “โดนัลด์ ทรัมป์” จนถูกกดดันจากรอบทิศให้ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ถอนตัวจากการชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐอเมริกาสมัยสองในปลายปี 2024 เพื่อเปิดทางให้เปลี่ยนผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

นอกจากชื่อของรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส จะกลายเป็นทางเลือกหนึ่ง งานนี้มีการนำเสนอชื่อ อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง “มิเชลล์ โอบามา” ในฐานะความหวังเดียวของพรรคเดโมแครต ที่จะโค่นล้ม “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้สำเร็จ เพราะวัดจากเรตติ้งแล้วเฟิสต์เลดี้ผิวสีเป็นเพียงคนเดียวจากฟากเดโมแครตที่มีคะแนนนิยมเหนือกว่าทรัมป์

ทั้งๆที่เป็นคนสงวนท่าทีเรื่องการเมือง แต่ “มิเชลล์ โอบามา” ก็ออกโรงสนับสนุน “โจ ไบเดน” เต็มที่ โดยกล่าวโจมตีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผ่านคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ในการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครต เมื่อกลางปี 2020 ก่อนประกาศชื่อ “โจ ไบเดน” เป็นตัวแทนพรรคลงชิงประธานาธิบดีสมัยแรกว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ไม่ใช่ประธานาธิบดีที่คู่ควรกับประเทศเรา เขามีเวลาเกินพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถทำหน้าที่ผู้นำประเทศได้ แต่ก็ชัดเจนว่าเขาไม่มีความสามารถเพียงพอ เขาไม่สามารถเป็นคนที่พวกเราต้องการให้เขาเป็นได้ แค่การพูดถึงข้อเท็จจริงทั่วไปที่ว่าชีวิตของคนผิวดำมีค่านั้น ก็ยังต้องเผชิญกับการดูถูกเย้ยหยันจากสำนักงานสูงสุดของประเทศ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เรามองหาความเป็นผู้นำ, การปลอบใจ หรือความ หนักแน่นมั่นคงจากทำเนียบขาว เรากลับได้ความวุ่นวาย, ความแตกแยก และการไร้ซึ่งความเข้าอกเข้าใจอย่างสิ้นเชิง

...

ถามว่าทำไมชาวมะกันจำนวนหนึ่งเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่สหรัฐอเมริกาควรมีผู้นำประเทศเป็นสุภาพสตรีที่ชื่อว่า “มิเชลล์ โอบามา” ทั้งๆที่เธอไม่เคยทำงานการเมืองใดๆมาก่อน และรั้งแค่ตำแหน่งเดียวคือ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา

ตลอดระยะเวลา 8 ปี ที่อยู่ในทำเนียบขาว ทำหน้าที่เฟิสต์เลดี้เคียงบ่าเคียงไหล่ “บารัก โอบามา” ประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกา “มิเชลล์ โอบามา” ได้สร้างแรงบันดาลใจมหาศาลให้คนผิวสีและผู้ด้อยโอกาสในสังคม ในฐานะต้นแบบแห่งความสำเร็จของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ที่ถีบตัวเองจากเด็กสลัมในย่านเซาธ์ไซด์ของเมืองชิคาโก จนสามารถคว้าปริญญาจากมหาวิทยาลัยระดับไอวีลีกถึง 2 แห่ง คือพรินซ์ตัน ยูนิเวอร์ซิตี้ และฮาร์วาร์ด ยูนิเวอร์ซิตี้ ก้าวกระโดดสู่เส้นทางอาชีพนักกฎหมายอนาคตไกล ได้ทำงานในบริษัทกฎหมายชั้นนำอย่าง “ซิดลีย์ ออสติน”

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ “มิเชลล์ โอบามา” เติบโตขึ้นจนกลายเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งยุคใหม่ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกคือ การได้แต่งงานกับ “บารัก โอบามา” ทนายความและอาจารย์กฎหมายด้านสิทธิพลเมือง ที่ตั้งใจเรียนกฎหมายเพื่อหวังจะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีกว่าเดิม ผ่านการผลักดันนโยบายที่ก้าวหน้าและการทำงานของภาครัฐ เธอตัดสินใจทิ้งห้องทำงานบนตึกหรูออกไปลุยงานที่เทศบาลเมืองกับสามี เพื่อช่วยแก้ปัญหาในชุมชน และช่วยเยาวชนด้อยโอกาสให้มีช่องทางทำงานในองค์กรต่างๆของภาครัฐ

ตอนที่สามีเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัว โดยตัดสินใจลงสมัครสมาชิกสภานิติบัญญัติเป็นครั้งแรก “มิเชลล์” ก็เป็นตัวตั้งตัวตีในทีมช่วยหาเสียง หนุนส่งให้โอบามาได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ต่อเนื่องกัน 3 สมัย ตั้งแต่ปี 1997-2004 ก่อนจะคว้าชัยชนะในสนามใหญ่ได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ ในปี 2005-2008 และกลายเป็นนักการเมืองดาวรุ่งของยุคที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา โดยครองชัยชนะต่อเนื่องถึง 2 สมัย

แม้ “บารัก โอบามา” จะเก่งกาจและเฉียบคมไปด้วยวาทศิลป์ขนาดไหน แต่เขาคงมาไกลขนาดนี้ไม่ได้ถ้าขาดลมใต้ปีกสนับสนุนจากภริยาคนเก่ง “มิเชลล์ โอบามา” หญิงแกร่งที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์, อารมณ์ขัน และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

ทุกความสนใจของ “มิเชลล์” ตลอดการทำหน้าที่ในทำเนียบขาว ถูกแปรเปลี่ยนเป็นโครงการเพื่อช่วยเหลือสังคมที่ส่งผลกระทบอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น โครงการ Let’s Move! ที่มุ่งมั่นหยุดโรคอ้วนในเด็กมะกันให้ได้ภายใน 1 ชั่วอายุคน, โครงการ Joining Forces สนับสนุนและเชิดชูทหารในกองทัพ, โครงการ Reach Higher ส่งเสริมเยาวชนให้ได้รับการศึกษาเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานทั่วประเทศ และโครงการ Let Girls Learn แก้ปัญหาการเข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษาของเด็กสาวทั่วโลก

แม้จะพ้นตำแหน่งไปหลายปีแล้ว แต่ความมุ่งมั่นและพึ่งพาได้ของ “มิเชลล์ โอบามา” ก็ยังประทับจิตประทับใจคนอเมริกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครจะมองว่าเธอคนนี้คือความหวังเดียวของเดโมแครตที่จะโค่นทรัมป์ได้!!


มิสแซฟไฟร์

คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม