"ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่ขยายระยะเวลาฟรีวีซ่าให้ชาวไต้หวันสามารถท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญอันดับต้นของคนไต้หวันได้อย่างสะดวก ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีมากระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย และยินดีต้อนรับสู่ไต้หวัน"

คำกล่าวต้อนรับผู้สื่อข่าว นสพ.ไทยรัฐจาก นายเถียน จงกวง รมช.ต่างประเทศสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เมื่อถูกถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับไทย ที่กระทรวงต่างประเทศไต้หวันเป็นเจ้าภาพจัดการหารือระหว่างรับประทานอาหารกลางวันกับนักข่าวต่างประเทศ 11 ชีวิต จาก 10 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไทยรัฐได้รับเกียรติเป็นหนึ่งนั้น ร่วมด้วยนักข่าวจากอินเดีย ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ เพื่อเน้นย้ำ ถึงการส่งเสริมความร่วมมือภายใต้นโยบาย “มุ่งใต้ครั้งใหม่” (New Southbound Policy) ที่กรุงไทเป เมื่อสัปดาห์ก่อน

นายเถียนยังกล่าวว่าไทยและไต้หวันมีความร่วมมือกันมายาวนาน ย้อนไปไกลตั้งแต่รัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ เยือนไต้หวันในปี 2506 วางรากฐานแข็งแกร่งของความสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่าย กระทั่งไต้หวันเป็นเรี่ยวแรงสำคัญให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีการเกษตรแก่มูลนิธิโครงการหลวง ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวไทยในพื้นที่สูงทางภาคเหนือ จากเดิมที่ปลูกฝิ่นให้หันมาปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนเป็นผลสำเร็จจนถึงทุกวันนี้

ส่วนประเด็นความร่วมมือระหว่าง 2 ฝ่ายที่มุ่งหวังเห็นการพัฒนา ให้แข็งแกร่งก้าวหน้าต่อไปนั้นทาง รมช. ต่างประเทศไต้หวัน ส่งไม้ต่อให้ นายหลิน ซิ่นเริ่น รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว กระทรวงคมนาคมไต้หวัน กล่าวเสริมว่า “ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับที่ 5 ของคนไต้หวัน ตัวเองมักจะได้ยินฟีดแบ็กจากคนรอบข้างที่ล้วนรู้สึกประทับใจกับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เปี่ยมรอยยิ้มของคนไทย ที่สำคัญตอนนี้เรามีสำนักงานแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ทำหน้าที่โปรโมตให้คนไทยมาท่องเที่ยวไต้หวันให้มากยิ่งขึ้น” ยังทิ้งท้ายด้วยว่า “บอย ปกรณ์” พระเอกดังชาวไทยทำหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไต้หวันได้อย่างดีเยี่ยม แม้ไม่เผยว่าพลังดาราของบอยช่วยให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือไม่ก็ตาม

...

ขณะที่เมื่อช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา การท่องเที่ยวไต้หวันเพิ่งเปิดตัวโลโก้แบรนด์ใหม่ ภายใต้ สโลแกน “Waves of wonder” ทดแทน “the Heart of Asia” ที่ทำหน้าที่สร้างการรับรู้ให้ชาวโลกมานาน 13 ปี หวังให้นักท่องเที่ยวสัมผัสประสบการณ์ไต้หวันได้ตลอดทั้งปี โดยมีเป้าหมาย 10 ล้านคนในปี 2567 เป็นเดิมพัน จากที่เคยตั้งเป้า 12 ล้านคน แต่เมื่อสถานการณ์จากฝั่งจีนยังจำกัดไม่ให้พลเมืองเดินทางไปไต้หวัน ไม่เปลี่ยนแปลง จึงต้องปรับลดตัวเลขลง

กระนั้นก็ยังนับเป็นความท้าทายอยู่ไม่น้อย เมื่อไตรมาสแรกของปีนี้มีชาวต่างชาติมาเยือนไต้หวัน 2.05 ล้านคน ส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น ฮ่องกง/มาเก๊า และเกาหลีใต้ ส่วนตัวเลขล่าสุดเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. อยู่ที่ 3.4 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม เมื่อขอคำแนะนำแหล่งท่องเที่ยวในไต้หวันนอกเหนือจากกรุงไทเป “ลงใต้” เป็นคำตอบที่ได้รับอย่างเป็นเอกฉันท์ จึงเป็นที่มาของการออกเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง THSR จากสถานีขนส่งไทเป เมน สเตชัน สู่เมือง “เกาสง” หรือ “เกาฉง” ตามสำเนียงท้องถิ่น นำสู่จุดหมายอย่างสะดวกสบายในเวลาเพียง 90 นาที

“เกาสง” จากที่เป็นเมืองท่า เมืองอุตสาหกรรมหนัก ปัจจุบันถูกแปลงโฉมพัฒนาเป็น “สมาร์ท ซิตี้” เมืองอัจฉริยะได้อย่างน่าทึ่ง นอกเหนือจากความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม มีศูนย์พัฒนาเรือดำน้ำสุดล้ำ เป็นเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจอันดับ 3 ของไต้หวัน เมืองทางใต้แห่งนี้ยังเป็น ศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรม และผลักดัน “เศรษฐกิจคอนเสิร์ต” เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กวาดรายได้กระตุ้น ภาคการท่องเที่ยวและบริการอย่างเต็มสูบในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ “ศูนย์ดนตรีเกาสง” (Kaohsiung Music Center) มิวสิก ฮอลล์ และศูนย์กิจกรรมความบันเทิงและจัดแสดงนิทรรศการ ระดับ เวิล์ดคลาส ที่เพิ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือน ต.ค.2564 บริเวณท่าเรือเกาสง สามารถรองรับผู้ชมในการแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินจากทั่วโลกได้มากถึง 50,000 คน

มิวสิก ฮอลล์แห่งนี้เคยต้อนรับศิลปินดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น “แบล็กพิ้งค์” “เอ็ด ชีแรน” หรือ “โคลด์เพลย์” มาเปิดการแสดงที่นี่ นอกเหนือจากเทศกาลดนตรี Takao Rock และ Megaport Festival งานใหญ่ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ทั้งหมดนี้สามารถดึงดูดผู้คนมาเยือนเกาสงได้ถึง 1.4 ล้านคน เฉพาะปีที่แล้วสร้างรายได้ราว 4,500 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือกว่า 5,096 ล้านบาท ขณะที่ข้อมูลล่าสุดจนถึงสิ้นเดือน เม.ย.ปีนี้ มีผู้ชมคอนเสิร์ตในเมืองเกาสง 720,000 คน ใช้จ่ายราว 2,300 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (หรือราว 2,605 ล้านบาท) จากคอนเสิร์ต 54 ครั้ง ไม่เลวเลย

...

หลังจากเที่ยวชมเมืองเกาสงพอสมควรแก่เวลา เราใช้รถบัสเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง สู่จุดหมายต่อไปที่ “อุทยานแห่งชาติเขิ่นติง” อุทยานแห่งชาติเขตร้อนเพียงแห่งเดียวของไต้หวัน บนจุดศูนย์กลางของคาบสมุทรเหิงชุน เป็นสวรรค์ของนักเที่ยวผู้รักธรรมชาติอย่างแท้จริง ด้วยทัศนียภาพที่ผสมผสานระหว่างความงดงามของขุนเขา แนวป่า ทุ่งหญ้าและชายหาดทอดยาว เส้นทางเดินป่า พื้นที่อนุรักษ์สัตว์ รวมทั้งแลนด์มาร์กอย่าง “สวนเอ๋อหลวนปี๋” พื้นที่ส่วนใต้สุดของเกาะไต้หวัน ที่มี “ประภาคารเอ๋อหลวนปี๋” เป็นไฮไลต์สำคัญ กับกิจกรรมความบันเทิงยามราตรีที่ตลาดกลางคืนเขิ่นติง มีพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงขายอาหารคาวหวาน เครื่องดื่มนานาชนิด ไปจนถึง สินค้าที่ระลึกให้เลือกซื้อเลือกชมอย่างเพลิดเพลิน แถมด้วยกิจกรรมปาเป้ายอดฮิต

เชื่อว่าประสบการณ์ทางดนตรีและมนต์เสน่ห์ทางธรรมชาติจะช่วยผลักดันให้ไต้หวันบรรลุเป้าหมายการท่องเที่ยวได้ไม่ไกลเกินเอื้อม.

อมรดา พงศ์อุทัย

คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม