ราคาตั๋วสำหรับการเยี่ยมชมหอไอเฟล ในกรุงปารีส เพิ่มขึ้นอีก 20% เพื่อให้สอดคล้องกับค่าบำรุงรักษาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

หอไอเฟลเริ่มปรับขึ้นราคาตั๋วตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย. 67 โดยตั๋วสำหรับผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 35 ยูโร (ราว 1,375 บาท) จากเดิม 29.10 ยูโร (ราว 1,143 บาท) หรือเพิ่มขึ้น 20% เพื่อให้สอดคล้องกับค่าบำรุงรักษาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 2024 และหลังจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างบริษัทจัดการหอไอเฟล และทางการกรุงปารีส เกี่ยวกับรายได้ของสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งนี้

ด้านบริษัทจัดการหอไอเฟล (SETE) ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลหอไอเฟล หวังที่จะลดผลการขาดทุนของบริษัท ซึ่งได้รับผลกระทบจากการขยายระยะเวลาการปิดหอไอเฟล ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และประเด็นข้อพิพาทของสหภาพแรงงานที่นำไปสู่การปิดหอไอเฟลชั่วคราวในเดือนกุมภาพันธ์

ทั้งนี้ หอไอเฟลยังคงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก ในปี 2566 มีผู้เยี่ยมชมประมาณ 6.3 ล้านคน ซึ่งนับว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2558

SETE ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนที่ทางการปารีสถือหุ้นร้อยละ 99 กำลังเร่งฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้รายได้ลดลง 4 เท่าในปี 2563 หรือเพียง 25 ล้านยูโร เทียบกับ 99 ล้านยูโรในปี 2562 หรือขาดทุนสูงถึง 113 ล้านยูโรในช่วงปี 2563 ถึง 2565 นอกจากนั้น บริษัทยังต้องเผชิญกับค่าบำรุงรักษาที่พุ่งสูงขึ้นเกิน 130 ล้านยูโร ขณะที่พนักงานกว่า 360 คนของหอไอเฟล กล่าวว่าความล่าช้าในการจัดการความขัดแย้งระหว่าง SETE และทางการกรุงปารีส ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

หอไอเฟลจะมีการทาสีใหม่ทุกๆ 7 ปี เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของกระบวนการอนุรักษ์โครงสร้างโลหะ อย่างไรก็ตาม โครงการทาสีครั้งที่ 20 เริ่มขึ้นในปี 2563 หรือล่าช้าถึง 11 ปีหลังจากการทาสีครั้งก่อน

...

SETE อ้างว่าค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูงขึ้น เนื่องจากความจำเป็นในการบำบัดตะกั่วที่พบในการเคลือบสีครั้งก่อน เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่มีการลอกสีหอไอเฟลครั้งใหญ่ ก่อนที่จะทำการทาสีใหม่ เดิมที การทาสีใหม่จะเริ่มขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพื่อให้เสร็จทันมหกรรมโอลิมปิกปี 2024 พร้อมทั้งเปลี่ยนสีจากสีเบจเทา เป็นสีน้ำตาลเหลือง แต่ปัจจุบันงานยังไม่เสร็จสมบูรณ์ โดยมีเวลาเหลืออีกเพียงเดือนเศษ ก่อนพิธีเปิดการแข่งขันในวันที่ 26 ก.ค.

นอกจากนั้น SETE ยังต้องชดเชยค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่เพิ่มขึ้น ที่ต้องจ่ายให้กับทางการกรุงปารีส เพื่อดำเนินการสถานที่สำคัญแห่งนี้ โดยค่าธรรมเนียมซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 8 เป็น 15 ล้านยูโรในปี 2564 และเตรียมเพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านยูโรภายในปี 2568 สหภาพแรงงานทั้งสองแห่งของ SETE เห็นว่าจำนวนเงินดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล และวิพากษ์วิจารณ์ทางการกรุงปารีสว่า แสวงหาผลกำไรด้วยต้นทุนทั้งหมดในระยะสั้น.

ที่มา France 24

ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign