ผู้อยู่อาศัยรวมทั้งธุรกิจต่างๆ บนเกาะเซนโตซาของสิงคโปร์ ต่างได้รับผลกระทบจากเหตุคราบน้ำมันที่รั่วไหลจากท่าเทียบเรือขนส่งสินค้าที่อยู่ใกล้เคียง

การรั่วไหลของน้ำมันที่ท่าเรือปาซีร์ปันจัง ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเกาะเซนโตซาที่อยู่ใกล้เคียง ส่งผลให้ชายหาดหลายแห่งเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน ขณะที่ผู้อยู่อาศัยบางส่วนในเขตเซนโตซาโคฟจำเป็นต้องออกจากที่พักอาศัยชั่วคราว เนื่องจากทนกลิ่นน้ำมันไม่ไหว เช่นเดียวกับธุรกิจเรือยอชต์และนักท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ

ชายหาดต่างๆ บนเกาะเซนโตซากำลังได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมัน หลังจากเรือขุดเจาะชนเรือบังเกอร์ที่จอดอยู่ที่ท่าเรือเมื่อบ่ายวันศุกร์ (14 มิ.ย.) ทำให้พื้นที่ส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะอีสท์โคสท์พาร์ค และบางส่วนของเขตอนุรักษ์ธรรมชาติลาบราดอร์ ต้องปิดให้บริการเพื่อทำความสะอาดจนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม

ธุรกิจเรือยอชต์ในย่านเซนโตซาโคฟ ระบุว่า เรือทุกลำของพวกเขาไม่สามารถออกจากท่าจอดเรือได้ตั้งแต่เช้าวันเสาร์ พนักงานของบริษัท YachtCruiseSG กล่าวว่า บริษัทได้ยกเลิกการจอง 4 ครั้งในวันเสาร์ โดยขาดทุนประมาณ 800 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อการจอง และประมาณ 3,200 ดอลลาร์สิงคโปร์ในวันนั้น เจ้าหน้าที่กล่าวว่า การจองอีก 4 รายการในวันอาทิตย์ และ 2 รายการในวันจันทร์ อาจถูกยกเลิก เนื่องจากไม่แน่ใจว่าเรือในท่าจอดเรือจะสามารถออกสู่ทะเลได้อีกครั้งเมื่อใด

ผู้อยู่อาศัยในย่านเซนโตซาโคฟบางคนกล่าวว่า กลิ่นน้ำมันก๊าดฉุนลอยเข้ามาในอพาร์ตเมนต์ แทนที่จะเป็นลมทะเลตามปกติ ทำให้ต้องปิดประตูและหน้าต่างทั้งหมดแล้วเปิดเครื่องปรับอากาศ แต่กลิ่นยังคงอยู่ ขณะที่บางรายเริ่มมีอาการไอและเวียนศีรษะ ทำให้บางคนต้องเดินทางออกจากเกาะเซนโตซาชั่วคราวในเวลากลางวัน

...

แม้ว่าชายหาดปาลาวัน ซิโลโซ และตันจง บนเกาะเซนโตซายังคงเปิดให้ประชาชนทั่วไปท่องเที่ยวได้ แต่กิจกรรมว่ายน้ำและกิจกรรมทางทะเลไม่ได้รับอนุญาตในขณะนี้ โดยพบพนักงานทำความสะอาดหลายคนใช้พลั่วตักคราบน้ำมันลงในถุงขยะสีดำบนหาดตันจง

ด้านบริษัท เซนโตซา ดีเวลลอปเมนต์ คอร์โปเรชัน ผู้บริหารเกาะเซนโตซา กล่าวว่า นอกเหนือจากการทำความสะอาดชายหาดแล้ว บริษัทยังมุ่งเน้นไปที่การลดผลกระทบต่อผืนน้ำและสัตว์ป่าโดยรอบให้น้อยที่สุด ส่วนกลุ่ม Marine Stewards กลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่น กล่าวว่าสัตว์ทะเลที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่อยู่บริเวณหมู่เกาะทางใต้ แม้ว่าจะยังเร็วเกินไปที่จะเห็นภาพความเสียหายทั้งหมด.

ที่มา CNA

ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign