คลื่นความร้อนรุนแรงปกคลุมหลายพื้นที่ของประเทศอินเดียอย่างต่อเนื่อง และทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 50 ศพ ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 3 มิ.ย. 2567 ว่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตเนื่องจากอากาศร้อนในรัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของอินเดียมากถึง 33 ศพ โดยหลายคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งจบลงเมื่อ 1 มิ.ย. เช่น เจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้ง, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และเจ้าหน้าที่สุขาภิบาล

ขณะเดียวกันที่รัฐโอริสสา ทางตะวันออกของอินเดีย ก็มีรายงานพบผู้เสียชีวิตจาก โรคลมแดด หรือ ฮีตสโตรก (heat stroke) ถึง 20 ศพ

ตามการเปิดเผยของ กระทรวงสาธารณสุขกลางของอินเดีย นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. จนถึง 30 พ.ค. มีรายงานพบผู้ป่วยโรคฮีตสโตรกประมาณ 24,849 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตอย่างน้อย 56 ศพ อย่างไรก็ตาม สถิติที่เก็บโดยแต่ละรัฐชี้ว่าจำนวนที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้มาก

เช่นที่รัฐโอริสสา ทางการท้องถิ่นรายงานว่า พบผู้เสียชีวิตที่ต้องสงสัยว่าเกิดจากโรคฮีตสโตรกถึง 99 ศพ ในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยพวกเขาสามารถยืนยันสาเหตุการเสียชีวิตได้แล้ว 20 ราย

ส่วนที่ รัฐอุตตรประเทศ นายนาฟดีป รินวา หัวหน้าเจ้าหน้าที่เลือกตั้งประจำรัฐ บอกกับสื่อว่า สมาชิกครอบครัวของเจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้งที่เสียชีวิต จะได้รับเงินชดเชยครอบครัวละ 1.5 ล้านรูปี หรือราว 660,700 บาท

นายรินวา บอกด้วยว่า มีชาวบ้านชายคนหนึ่งเป็นลมขณะกำลังยืนเข้าคิวเพื่อรอใช้สิทธิ์ โดยเขาถูกนำตัวส่งศูนย์การแพทย์ทันที แต่ได้รับการประกาศว่าเสียชีวิตเมื่อเดินทางไปถึง

ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของรัฐพิหาร, มัธยประเทศ และ ฌาร์ขันท์ ก็รายงานพบผู้เสียชีวิตที่ต้องสงสัยว่ามีสาเหตุจากโรคลมแดดเช่นกัน

...

ทั้งนี้ ศูนย์ควบคุมโรคแห่งชาติของอินเดีย ระบุว่า โรคฮีตสโตรก เป็น อาการที่มีอันตรายถึงชีวิต โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 40-64%

คลื่นความร้อนคงปกคลุมพื้นที่ภาคเหนือ, ภาคกลาง และบางส่วนในภาคตะวันตกของอินเดียมานานกว่า 2 สัปดาห์แล้ว ทำให้อุณหภูมิสูงสุดในแต่ละวันพุ่งไปอยู่ที่ราว 45-46 องศาเซลเซียส แต่บางพื้นที่ก็ร้อนจัดถึง 50 องศาเซลเซียส ส่งผลให้บางภูมิภาคเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำและไฟฟ้าอย่างหนัก เนื่องจากการบริโภคพลังงานที่มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สำนักงานสภาพอากาศอินเดีย ระบุว่า อุณหภูมิในประเทศจะลดลงในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า เนื่องจากการมาของพายุมรสุม.

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc