เป็นนายกรัฐมนตรีได้ปีกว่า ผู้นำอังกฤษเชื้อชาติอินเดียที่มีชื่อว่าซูแน็กก็เข็นเศรษฐกิจต่อไปไม่ไหว มีโอกาสที่ประเทศจะพังคามือ จึงประกาศยุบสภาเมื่อ 22 พฤษภาคม 2024 และจะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 4 กรกฎาคม 2024

ดูการหาเสียงของหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมซูแน็กแล้ว เหมือนแกไม่อยากชนะยังไงไม่รู้ “อ้า ถ้าชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป ข้าฯ จะจับพลเมืองอังกฤษอายุ 18 ปีมาเกณฑ์ทหารคนละ 1 ปี หรือเลือกที่จะเป็นอาสาในวันหยุดสุดสัปดาห์ 1 ครั้ง รวม 25 วันต่อปีก็ได้” ผู้อ่านท่านครับ นี่เป็นนโยบายไร้สาระ ไม่มีสตางค์ แต่ยังจะมาหาเรื่องใช้งบประมาณในการเลี้ยงดูทหารเกณฑ์อีก

ฟังเสียงต่อต้านจากคนอังกฤษแล้ว พรรคคอนเซอร์เวทีฟซึ่งบริหารอังกฤษรอบล่าสุดมานาน 14 ปี อาจจะพลาดพลั้งเสียตำแหน่งให้พรรคแรงงานที่นำโดย เคียร์ สตาร์เมอร์ ก็ได้ ตอนนี้หลายประเทศในยุโรป เช่น สวีเดน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฯลฯ ประกาศเกณฑ์ทหารกันยกใหญ่ คณะผู้นำของประเทศเหล่านั้นประเมินว่า อนาคตน่าจะเกิดมหาสงคราม จึงต้องเตรียมพร้อมในเรื่องกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์

อังกฤษเชื่อว่าสหรัฐฯจะไม่ทิ้งประเทศแม่อย่างตน จึงยอมสหรัฐฯทุกเรื่อง ภายในปีนี้ ค.ศ.2024 ทั้งสหรัฐฯและอังกฤษประสบพบความสำเร็จในการตั้ง JIAC หรือ Joint Intelligence Analysis Centre (ศูนย์วิเคราะห์ข่าวกรองร่วม) เขียนให้เข้าใจง่ายก็คือ ตั้งกลุ่มสายลับเพื่อปฏิบัติการในยุโรป หน่วยนี้ตั้งอยู่ที่ศูนย์กองทัพอากาศสหรัฐฯ หมู่บ้านครัฟตันของอังกฤษ

สหรัฐฯตั้งฐานเพื่อใช้ควบคุมยุโรปไว้ในอังกฤษหลายอย่าง เช่น ฐานปฏิบัติการของสหรัฐฯ (ในฐานทัพอากาศสหราชอาณาจักร หมู่บ้านลาเคนฮีธ) ที่มีฝูงบิน F-15 และมีทหารสหรัฐฯประจำอยู่มากถึง 5,500 นาย พวกที่มีประเทศแม่คืออังกฤษจะจับมือกันเพื่อควบคุมโลก ทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา ห้าประเทศนี้ยังตั้งหน่วยข่าวกรองร่วมกันที่ชื่อว่าองค์กรไฟว์อายส์

...

อังกฤษไม่ค่อยมีสตางค์ ผู้คนตกงานบานเบอะเยอะแยะ เทศบาลใหญ่หลายแห่งประกาศล้มละลาย แต่รัฐบาลอังกฤษในฐานะอดีตมหาอำนาจโลกก็ยังทำหน้าใหญ่ใจโตนำเงินที่จะใช้ไปทำนุบำรุงชาติบ้านเมืองตัวเองไปในกิจการที่เจ้ากี้เจ้าการเรื่องของชาวบ้าน เช่น ตุลาคม 2019 อังกฤษเป็นผู้นำกองกำลังหลายชาติไปประจำฐานทัพเอสโตเนีย (ประจำการ 800 กอง) ร่วมกับสหรัฐฯ ส่งกองกำลังเสริมฐานทัพโปแลนด์ (140 กอง) ฯลฯ

ตอนที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ทรัมป์นำสหรัฐฯถอนตัวออกจาก 1.ข้อตกลงปรมาณูอิหร่าน 2.ข้อตกลงปารีส 3.กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และ 4.สมาชิกภาพของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ตอนนั้นทั้งโลกตกใจมาก เพราะพวกนี้เป็นองค์กรพิทักษ์โลก ได้ทั้งภาพลักษณ์ ได้ทั้งการช่วยโลกอย่างของแท้แน่นอน

แม้จะเป็นติ่งเนื้อติดตัวสหรัฐฯ แต่อังกฤษก็กล้าขอความเมตตากรุณาสหรัฐฯให้กลับมาเป็นสมาชิกในกรอบความร่วมมือที่สหรัฐฯในยุคของทรัมป์ถอนตัวออกไป แต่สหรัฐฯสั่นหัว‘เซย์โน’ แถมยังขู่ด้วยว่า อ้า ไอ้ปื๊ดอังกฤษ ถ้าเอ็งต้องการให้ข้าฯเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภายหลังเบร็กซิทต่อ เอ็งจะต้องถอนตัวออกจากข้อตกลงต่างๆ อย่างที่ข้าฯ ถอนมาแล้ว ข้อตกลงแรกที่เอ็งจะสั่งให้เอ็งถอนก็คือข้อตกลงปรมาณูอิหร่าน

เพราะโตแล้ว สหรัฐฯจะทำยังไงก็ได้ แต่อังกฤษเป็นประเทศเคยโตและตอนนี้ก็มีสถานะผู้เฒ่าชะแรแก่ชราที่ต้องพึ่งพาสหรัฐฯแทบทุกเรื่อง พยายามเตือนสหรัฐฯว่า อ้า เจ้านายครับ ถ้าละเลยผลประโยชน์ร่วมของโลก ท่านก็อาจจะเป็นเจ้าโลกได้ไม่ยั่งยืน เป็นแว้บๆแป้บๆ ประเดี๋ยวประด๋าวง่าวเหงือก แล้วก็ต้องกระโจนลงจากเวที

แม้แต่ยุคของจอร์จ ดับเบิลยู บุช สหรัฐฯ ก็ดำเนินนโยบายนักเลงโต ไม่ร่วมมือกับชุมชนโลกหลายอย่าง ที่ผมจำได้แม่นเลยก็คือสหรัฐฯ 1.ปฏิเสธการเข้าเป็นสมาชิกศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) 2.ถอนตัวจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธ และ 3.ปฏิเสธลงนามใน Annex หรือเอกสารแนบของพิธีสารเกียวโตที่ว่าด้วยภูมิอากาศโลกหรือสภาวะโลกร้อน

แม้อังกฤษขอร้อง แต่สหรัฐฯไม่เคยทำตาม สถานะของอังกฤษเป็นเพียงลูกกระจ๊อกของสหรัฐฯเท่านั้น.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com

คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม