รัฐสภาจอร์เจียลงมติยกเลิกคำสั่ง ‘วีโต’ ของประธานาธิบดี ซึ่งพยายามคัดค้านการออกกฎหมายตัวแทนต่างชาติแล้ว และเตรียมเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐสภาของประเทศจอร์เจียโหวตลงมติยกเลิกคำสั่ง ‘วีโต’ ของประธานาธิบดี ซึ่งคัดค้านการออกกฎหมายเจ้าปัญหาที่ถูกเรียกว่า ‘กฎหมายตัวแทนต่างชาติ’ แล้ว ในวันอังคารที่ 28 พ.ค. 2567 โดยไม่สนเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาติตะวันตกที่กล่าวหาว่า กฎหมายฉบับนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอำนาจเผด็จการของรัสเซีย
การโหวตคว่ำคำสั่งวีโต ของประธานาธิบดี ซาโลเม ซูราบิควิลี แห่งจอร์เจีย ซึ่งอำนาจส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงพิธีการอยู่แล้ว เป็นการเปิดทางให้ประธานรัฐสภาสามารถลงนามบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ได้ โดยคาดว่ามันจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่วันข้างหน้า
นางซูราบิควิลี ซึ่งพยายามเจรจาจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรพรรคฝ่ายค้าน เพื่อไปชิงชัยในการเลือกตั้งรัฐสภาวันที่ 26 ต.ค. กล่าวหลังจากการลงมติว่า สมาชิกสภาของพรรครัฐบาลเลือก ‘ระบบทาสของรัสเซีย’ และเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันโหวตพวกเขาออกไปในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
ทั้งนี้ ข้อพิพาทเรื่องกฎหมายตัวแทนต่างชาตินี้ถูกมองว่าเป็นบททดสอบสำคัญว่า จอร์เจีย ซึ่งตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา เป็นประเทศฝ่ายโปรชาติตะวันตกมากที่สุดในหมู่ประเทศที่แตกออกมาจากสหภาพโซเวียต จะรักษาจุดยืนหนุนตะวันตกเอาไว้ได้ หรือจะหันหน้าเข้าหารัสเซีย
กฎหมายตัวแทนต่างชาติ กลายเป็นที่ถกเถียงอย่างหนัก เนื่องจากมีข้อกำหนดว่า องค์กรใดๆ ที่ได้รับเงินทุนจากต่างประเทศมากกว่า 20% ของงบประมาณ จะต้องลงทะเบียนเป็น ‘ตัวแทนอิทธิพลต่างชาติ’ โดยมีโทษปรับอย่างรุนแรงสำหรับองค์กรที่ฝ่าฝืน และมีเงื่อนไขยุ่งยากอื่นๆ อีกหลายข้อ
...
รัฐบาลจอร์เจีย อ้างว่า กฎหมายฉบับนี้มีความจำเป็นเพื่อส่งเสริมความโปร่งใส และเพื่อหยุดสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า การวางแผนของชาติตะวันตกเพื่อดึงจอร์เจียเข้าสู่สงครามกับรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม ชาวจอร์เจียจำนวนนับพันนับหมื่นคนออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อต่อต้านกฎหมายฉบับนี้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงในวันอังคาร พวกเขามารวมตัวกันหน้าอาคารรัฐสภา ที่การรักษาความปลอดภัยถูกยกระดับขึ้นจนเป็นเหมือนป้อมปราการ ประจันหน้ากับตำรวจปราบจลาจล
นายจอร์จี อัมซาชวิลี หนึ่งในผู้ประท้วงกล่าวว่า เหล่า สส.ที่โหวตคว่ำคำสั่งวีโตของประธานาธิบดี คือผู้ทรยศที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา “นี่คือวันแห่งหายนะในชีวิตเรา ในประวัติศาสตร์จอร์เจีย ผมไม่อยากจดจำอะไรอย่างนี้เลย”.
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : reuters