ไม่นานมานี้ รัฐบาลจีนเพิ่งประกาศนโยบาย “ครั้งประวัติศาสตร์” ที่จะเข้ามาแก้ไขวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ที่ตึงเครียดต่อเนื่องนับแต่ปี พ.ศ.2564 ที่ทำให้มีที่พักอาศัยในจีนถูกทิ้งร้าง หรือก่อสร้างไม่เสร็จจำนวนมาก
โดยนายเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรี จีน เรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นเข้าซื้อบ้านบางส่วนที่สร้างเสร็จแล้วแต่ไม่มีคนซื้อในราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อให้ประชาชนสามารถครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในราคาที่เข้าถึงได้ รวมทั้งรัฐบาลท้องถิ่นสามารถซื้อสิทธิ์ในการใช้ที่ดินคืนจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (รัฐบาลเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน) ได้เช่นกันเพื่อดำเนินโครงการสร้างอสังหาริมทรัพย์ให้สำเร็จ
ขณะที่ “ธนาคารกลางแห่งประเทศจีน” (PBOC) ก็ประกาศจะจัดตั้งกองทุน 300,000 ล้านหยวน (ราว 1.5 ล้านล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือให้รัฐวิสาหกิจสามารถกู้ยืมเพื่อเข้าซื้อที่พักอาศัยที่ขายไม่ออก หรือไม่เป็นที่ต้องการของตลาด และปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นที่พักอาศัยที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้
PBOC ยังยกเลิกอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยขั้นต่ำ ลดเงินดาวน์ขั้นต่ำสำหรับผู้กู้ซื้อบ้านหลังแรกเหลือ 15% จาก 20% และสำหรับผู้กู้ซื้อบ้านหลังที่สองเป็น 25% จาก 30% ปรับลดอัตราดอกเบี้ยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อที่อยู่อาศัยอีก 0.25% บ่งชี้ให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่เพื่อบรรเทาปัญหานี้ ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีนในครั้งนี้ สร้างความหวังให้กับนักลงทุนว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในการแทรกแซงและจัดการปัญหาอสังหาริมทรัพย์ในจีน ช่วยชะลอราคาที่อยู่อาศัยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นจากมูลค่าราคาในตลาดหุ้นจีนที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น
...
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นของสหรัฐฯ เผยว่า การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ลดลง 9.8% ในเดือน ม.ค.-เม.ย.ปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2566 ขณะที่การขายอสังหาริมทรัพย์ลดลง 28.3% ในช่วงเวลาเดียวกัน อีกทั้งราคาบ้าน ก็ลดลงติดต่อกันถึง 10 เดือน ถือเป็นการลดลง ที่เร็วที่สุดนับแต่ปี 2560
จึงยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการดังกล่าวที่ให้อำนาจรัฐบาลท้องถิ่นในการแก้ไขปัญหานี้อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาในระดับมหภาคได้ อีกทั้งแม้จะทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนอยู่ดี จึงต้องรอดูแนวทางการแก้ไขปัญหาจากรัฐบาลจีนต่อไปว่าจะมีทิศทางเป็นเช่นไร.
ญาทิตา เอราวรรณ
คลิกอ่านคอลัมน์ "หน้าต่างโลก" เพิ่มเติม