- ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ลงนามในกฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งมีข้อกำหนดให้บริษัทไบต์แดนซ์ในจีน ขายกิจการติ๊กต่อกในสหรัฐฯ ภายในเส้นตาย 270 วัน มิเช่นนั้นจะถูกสั่งห้ามการใช้งาน
- แฟนตัวยงของติ๊กต่อกในสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ใช้มากกว่า 150 ล้านคน อาจพบว่ากิจกรรมยามว่างที่พวกเขาชื่นชอบหายไป แต่คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือบรรดาครีเอเตอร์และธุรกิจขนาดเล็ก ที่สร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าว ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบอาชีพเสริมหรืองานเต็มเวลา
- ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องคิดหาหนทางใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้า โดยไม่ต้องใช้ติ๊กต่อก และอาจเป็นเรื่องยากสำหรับแบรนด์ต่างประเทศที่จะทำเช่นนั้น ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ผู้ประกอบการหลายรายอาจสามารถทำได้ แต่กังวลว่าผลกระทบต่อบริษัทที่กำลังเติบโตและแบรนด์ต่างประเทศ อาจส่งผลกระทบรุนแรงสำหรับผู้ประกอบการบางราย โดยเฉพาะองค์กรขนาดเล็ก
หากไม่มีแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยม ครีเอเตอร์บางรายและองค์กรขนาดเล็กทั่วโลกอาจพบว่ารายได้ของพวกเขาลดลง
เมื่อวันที่ 24 เมษายน วุฒิสภาสหรัฐอเมริกาได้ผ่านกฎหมายเพื่อแบน "ติ๊กต่อก" (TikTok) ซึ่งเป็นแอปฯ โซเชียลมีเดียยอดนิยม ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ลงนามในร่างกฎหมายดังกล่าว กำหนดให้ "ไบต์แดนซ์" ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของติ๊กต่อก ต้องขายแอปฯ ให้กับเจ้าของที่ไม่ใช่ชาวจีน ไม่เช่นนั้นจะถูกแบนในสหรัฐฯ การตัดสินใจครั้งนี้ได้นำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ซับซ้อนและยากเย็นแสนเข็ญ
แฟนตัวยงของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ใช้มากกว่า 150 ล้านคน อาจพบว่ากิจกรรมยามว่างที่พวกเขาชื่นชอบหายไป แต่คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือบรรดาครีเอเตอร์และธุรกิจขนาดเล็กบนติ๊กต่อก ที่สร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบอาชีพเสริมหรืองานเต็มเวลา
...
จากข้อมูลของติ๊กต่อก เมื่อเดือนมีนาคม 2567 ธุรกิจขนาดเล็กในสหรัฐฯ มากกว่า 7 ล้านรายใช้บริการติ๊กต่อก และบริษัทรายงานว่า ได้สร้างรายได้ 15,000 ล้านดอลลาร์ ให้กับองค์กรเหล่านี้ในปี 2566
แพลตฟอร์มดังกล่าวยังเป็นพลังทางเศรษฐกิจที่สำคัญระดับโลกอีกด้วย โดยในเดือนมกราคม ติ๊กต่อกรายงานว่า วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมบนแพลตฟอร์ม ก่อให้เกิดรายได้ 4,800 ล้านยูโร ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และเบลเยียม เฉพาะปี 2566 เพียงปีเดียว
ผู้ประกอบการชาวอเมริกัน ซึ่งต้องเผชิญกับการแบนติ๊กต่อก ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับแหล่งรายได้ของพวกเขา เช่นเดียวกับธุรกิจระดับโลกหลายแห่งที่ต้องพึ่งพาผู้ชมในสหรัฐฯ ในการซื้อผลิตภัณฑ์และมีส่วนร่วมกับเนื้อหา และแม้อาจจะมีทางเลือกอื่น แต่การหาช่องทางสำรองที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องยากลำบาก
เพิ่มจำนวนผู้ชม ค้นหาผู้บริโภค
"ชีร่า" วัย 27 ปี ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 500,000 คนบนติ๊กต่อกที่ชื่อ @shirashiraonthewall เป็นครีเอเตอร์ที่ทำงานแบบเต็มเวลา เธอเปิดตัวบัญชีของเธอบนติ๊กต่อกในปี 2564 หลังจากที่เธอย้ายจากออสเตรเลียไปสหรัฐฯ ในตอนแรก เธอแชร์วิดีโอการรีแอ็กชันต่อเนื้อหาของผู้อื่น ตลอดจนประสบการณ์ของเธอในการใช้ชีวิตในสหรัฐฯ ภายใน 9 เดือน ผู้ติดตามของเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชีร่าได้พึ่งพา "พาร์ตเนอร์ชิป" ในการสร้างรายได้ในติ๊กต่อก แม้ว่าเธอจะมีบัญชีในสแนปแชตและยูทูบ แต่เธอก็บอกว่า ติ๊กต่อกสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องให้มากที่สุด "ฉันใช้เวลาหลายปีในการเติบโตและพัฒนากลุ่มผู้ชม สตรีมสด โพสต์ และแก้ไขสิ่งต่างๆ มาหลายปี การหาเงินจากมันถือเป็นการเดินทางที่ยากลำบาก ดังนั้นฉันจึงรู้สึกขอบคุณจริงๆ ที่ได้ลองทำและโชคดี"
ชีร่าอธิบายว่า การสั่งแบนดังกล่าวเป็น "การทำลายล้าง" นอกเหนือจากธุรกิจของเธอเอง เธอยังกล่าวว่า เธอยังกังวลว่าตำแหน่งงานหลายแสนตำแหน่งที่อาจสูญหายในเดือนมีนาคม ติ๊กต่อกรายงานว่า แอปฯ ได้สร้างงานอย่างน้อย 224,000 ตำแหน่งในสหรัฐฯ "ฉันไม่แน่ใจว่าคนเหล่านี้จะทำอย่างไรถ้าการแบนเกิดขึ้น"
ส่วน อิเลียนา จัสทีน วัย 30 ปี ครีเอเตอร์ที่มีผู้ติดตามเกือบ 200,000 คนบนติ๊กต่อก ที่บัญชี @ileanajustine แสดงออกถึงความกังวลที่คล้ายกัน เธอเริ่มเปิดบัญชีในปี 2564 หลังจากที่เธอเริ่มโพสต์เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเธอและเจ้าบ่าวของเธอกำหนดให้แขกสวมหน้ากากอนามัยในงานแต่งงานที่กำลังจะมาถึง เพื่อช่วยจำกัดการแพร่กระจายของโควิด-19 ในไม่ช้าเธอก็เข้าสู่วงการดังกล่าวอย่างเต็มตัว และมุ่งเน้นไปที่การผสมผสานระหว่างเนื้อหาไลฟ์สไตล์และการเมือง โดยพูดคุยในหัวข้อต่างๆ เช่น การลาหยุดเพื่อดูแลครอบครัวโดยได้รับค่าจ้าง การทำแท้ง และการควบคุมอาวุธปืน
อิเลียนา ไม่ใช่ครีเอเตอร์ที่ทำงานแบบเต็มเวลา ซึ่งต่างจากชีร่าตรงที่งานของเธอบนแพลตฟอร์มยังคงต้องใช้เวลา นอกเหนือจากฐานะทางการเงินของตัวเองแล้ว เธอยังแสดงความกังวลต่อผู้ที่มีรายได้มาจากติ๊กต่อก "แพลตฟอร์มดังกล่าวช่วยให้ขยายผลิตภัณฑ์และร้านค้าของตนได้ ซึ่งสามารถเปลี่ยนธุรกิจของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ ฉันมีเพื่อนมากมายที่สามารถเปลี่ยนธุรกิจจากงานเสริมมาเป็นงานเต็มเวลาได้เพราะติ๊กต่อก"
...
การหาทางเลือกอื่น
การแบนนี้อาจไม่ใช่ความหายนะสำหรับธุรกิจต่างๆ แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า มันจะบังคับให้คนเหล่านั้นต้องปรับตัว ซึ่งส่วนใหญ่คือการหาวิธีเปลี่ยนการทำงานไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ
โมฮัมหมัด ราห์มาน ศาสตราจารย์ด้านการจัดการจากมหาวิทยาลัยพาร์ดู ในสหรัฐฯ กล่าวว่า "เราอาศัยอยู่ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และโดยพื้นฐานแล้วเราใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารและข้อมูลทุกประเภท" แนวคิดในการย้อนกลับไปศึกษาว่าธุรกิจต่างๆ ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ในยุคก่อนที่จะมีสื่อโซเชียลมีเดียจะไม่ได้ผล สาเหตุหลักมาจาก "ผู้บริโภคทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของวิธีการรวบรวมข้อมูล วิธีการที่เราตัดสินใจว่าจะซื้ออะไร"
หากติ๊กต่อกถูกแบนในสหรัฐฯ ก็ยังมีทางเลือกอื่น เช่น "เมตา" และผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าอาจมีตัวเลือกอื่นปรากฏขึ้นในอนาคต และธุรกิจต่างๆ ยังคงมีเวลาที่จะคิดหาแนวทางอื่นต่อไป โดยไบต์แดนซ์จะมีเวลาอย่างน้อย 270 วันในการขายติ๊กต่อก นับจากการลงนามของประธานาธิบดีไบเดน ระยะเวลาดังกล่าวอาจขยายออกไปอีก เนื่องจากการต่อสู้ในศาลระหว่างไบต์แดนซ์และรัฐบาลสหรัฐฯ
...
คริสเทน ชีล รองศาสตราจารย์ด้านการตลาดธุรกิจการแพทย์ แห่งมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า ยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะต้องย้ายไปแพลตฟอร์มใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลายคนมุ่งความสนใจไปที่การเข้าถึงกลุ่ม "เจน ซี" (Gen Z) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้จ่ายรายใหญ่บนติ๊กต่อก โดยกล่าวว่า "การเข้าถึงพวกเขาบนแพลตฟอร์มอื่นเป็นเรื่องยาก"
ผลกระทบระลอกคลื่นทั่วโลก
ผู้ใช้ติ๊กต่อกชาวอเมริกันไม่เพียงแต่ขับเคลื่อนธุรกิจในประเทศเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบไปทั่วโลกอีกด้วย ผู้ประกอบการในประเทศอื่นๆ อาจสูญเสียผู้ชมในสหรัฐฯ ที่พวกเขาพึ่งพาสำหรับการรับชมคลิป ที่ท้ายสุดได้เปลี่ยนเป็นยอดขาย ผู้ประกอบการบางกลุ่ม รวมถึงในสหราชอาณาจักรและแคนาดา ได้แสดงความกังวลต่อเรื่องนี้แล้ว เมื่อเดือนมีนาคม โฆษกของติ๊กต่อกแคนาดา กล่าวว่า "การแบนติ๊กต่อกในสหรัฐฯ จะสร้างความเสียหายให้กับครีเอเตอร์ของติ๊กต่อกชาวแคนาดาและธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งหลายคนพึ่งพาติ๊กต่อกในการเข้าถึงชาวอเมริกันในฐานะผู้ชมส่วนใหญ่"
ผู้ประกอบการจะต้องคิดหาหนทางใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้าในสหรัฐฯ โดยไม่ต้องใช้ติ๊กต่อกเช่นกัน และอาจเป็นเรื่องยากสำหรับแบรนด์ต่างประเทศที่จะทำเช่นนั้น ชีลมองในแง่ดีว่า ผู้ประกอบการหลายรายอาจสามารถทำได้ แต่กังวลว่าผลกระทบต่อบริษัทที่กำลังเติบโตและแบรนด์ต่างประเทศ อาจส่งผลกระทบรุนแรงสำหรับผู้ประกอบการบางราย โดยเฉพาะองค์กรขนาดเล็ก
...
เป็นมากกว่ารายได้
แมตต์ แมคคักกิน ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในชื่อ Dappz Sports บนติ๊กต่อก และเริ่มต้นบริษัทซื้อขายการ์ดกีฬา ในปี 2019 ชายวัย 35 ปีรายนี้สามารถสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ของเขาอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆ มา แต่เมื่อโควิด-19 ส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมถึงกีฬา ผู้คนหลายพันคนเริ่มแห่กันไปที่บัญชี @dappzsports ซึ่งในขณะนี้มีผู้ติดตามหนึ่งล้านคน เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนการ์ด
แมคคักกินเริ่มถ่ายทอดสดบนติ๊กต่อกทุกคืน หลังจากเย็นวันหนึ่งที่เขาขายการ์ดได้ 70,000 ดอลลาร์ ขณะที่ทำการสตรีมสดในห้องนอน เขาก็ตระหนักว่าเขากำลังเข้าสู่บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่
เขากังวลเกี่ยวกับรายได้ที่ช่อง Dappz Sports จะได้รับ หากการแบนติ๊กต่อกมีผลบังคับใช้ แต่เขาเสริมว่า แพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นมากกว่ารายได้ส่วนตัวของเขา เมื่อ Dappz Sports เติบโตขึ้น แมคคักกินได้ช่วยให้เกิดการสร้างงานกว่า 90 ตำแหน่งในลอสแอนเจลิส รวมถึงนักแสดงและนักเขียนที่ไม่ได้ทำงานในช่วงเหตุการณ์ประท้วงนัดหยุดงานของสมาคมนักแสดงแห่งสหรัฐฯ หรือ SAG-AFTRA และสมาคมนักเขียนบทแห่งอเมริกา (WGA) ในปี 2566
นอกจากนี้เขายังสร้างพื้นที่พบปะเสมือนจริงสำหรับผู้ชมหลากหลายวัยในหลายสิบประเทศ ซึ่งหลายคนเคยเข้าชมช่อง Dappz Sports บนติ๊กต่อกมานานหลายปีแล้ว "เรามีคนที่เข้าร่วมสตรีมของเราและพวกเขาไม่ได้ใช้เงินเลย" เขาอธิบาย "พวกเขาเข้ามาทุกคืน เพื่อพูดคุยถึงเรื่องกีฬา เกมโปรดของเรา หรือช่วงเวลาที่เราชอบที่สุด"
เขาจะยังคงมอบความบันเทิงผ่านแพลตฟอร์มทางเลือกอื่นต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมันมีความจำเป็นสำหรับการอยู่รอดของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม แมคคักกินกล่าวว่า "นี่คือจุดที่เราใช้ความพยายามมากที่สุดและเป็นที่ที่เราสร้างชุมชนของเรา และมันคงน่าเสียดายที่จะสูญเสียมันไป แม้ว่าเราจะประสบความสำเร็จบนแพลตฟอร์มอื่นก็ตาม".
ที่มา BBC
ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign