อาคารตลาดหุ้นเก่าของเดนมาร์ก ถูกไฟไหม้รุนแรงเสียหายอย่างหนัก ยอดแหลมสัญลักษณ์หักโค่น เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะควบคุมเพลิงได้
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อาคารตลาดหลักทรัพย์เก่าของประเทศเดนมาร์ก หรือที่เรียกว่า ‘บอร์ซึน’ (Børsen) ในกรุงโคเปนเฮเกน ถูกเพลิงไหม้อย่างรุนแรงในวันอังคารที่ 16 เม.ย. 2567 ทำให้ยอดแหลมอันเป็นเอกลักษณ์ของอาคารหักโค่นลงมายังถนนเบื้องล่าง ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่เฝ้ามองดูด้วยความใจหาย
อาคารแห่งนี้เป็นหนึ่งในตึกเก่าแก่ที่สุดในกรุงโคเปนเฮเกน มีอายุย้อนกลับไปถึงปี พ.ศ. 2168 ตั้งอยู่ภายในปราสาทคริสเตียนส์บอร์ก ใกล้กับอาคารรัฐสภาเดนมาร์ก โดยเจ้าหน้าที่ต้องอพยพผู้คนออกจากจัตุรัสใกล้เคียง และปิดทางเข้าหลักของปราสาท ในขณะที่หลายคนพยายามเข้าไปขนย้ายรูปภาพประวัติศาสตร์ที่อยู่ภายในอาคารออกมา
เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงกว่าจะสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้นายยาคอบ เองเจล-ชมิดต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของเดนมาร์ก ออกมากล่าวว่า มรดกทางวัฒนธรรมอายุกว่า 400 ปีของประเทศ หายไปกับเปลวเพลิงแล้ว
ปัจจุบันอาคารตลาดหุ้นเก่าแห่งนี้ถูกใช้เป็นสำนักงานหอการค้าแห่งเดนมาร์ก และกำลังอยู่ระหว่างการบูรณะ ทำให้อาคารถูกห้อมล้อมไปด้วยนั่งร้านและพลาสติกป้องกัน
นายไบรอัน มิคเคลเซน ผู้อำนวยการหอการค้าเดนมาร์ก กล่าวว่า อาคารบอร์ซึนถูกเผาทำลายไปกว่าครึ่ง แต่ให้คำมั่นว่า จะมีการสร้างอาคารแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินบอกว่า นั่งร้านต่างๆ ทำให้การทำงานของพวกเขายากขึ้น ขณะที่เจ้าหน้าที่หลายคนบอกว่า ไฟลุกไหม้รุนแรงที่สุดบริเวณยอดแหลม
...
นายโอเล แฮนเซน คนงานก่ออิฐ ซึ่งกำลังทำงานบนนั่งร้านในตอนเกิดเหตุ เผยว่า เขาเห็นไฟเริ่มลุกไหม้บริเวณหลังคา เขาจึงตะโกนบอกเพื่อนร่วมงานว่าพวกเขาต้องลงไปด้านล่างแล้ว และเขาปลดล็อกประตูเอาไว้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามารถเข้าไปด้านในได้
อย่างไรก็ตาม นายยาคอบ เวดสตีด แอนเดอร์เซน หัวหน้าสำนักงานดับเพลิงท้องถิ่น กล่าวว่า นักผจญเพลิงต้องเผชิญกับงานที่แทบเป็นไปไม่ได้ในการเข้าถึงพื้นที่ใต้หลังคาทองแดงของอาคารแห่งนี้ และต้องใช้เวลาจนถึงบ่ายวันอังคาร จึงสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ แต่อาคารก็ถูกเผาเสียหายไปมากแล้ว
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc