ที่ผ่านมาคนจีนเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (3.5 หมื่นล้านบาท) มีอยู่ในกรุงปักกิ่งมากที่สุด ตามด้วยเซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น ฮ่องกง ฯลฯ 26 มีนาคม 2024 Hurun Research Institute เผยข้อมูลว่านครมุมไบของอินเดียกลายเป็นเมืองที่มีมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์มากที่สุดในโลก แซงกรุงปักกิ่งไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ นักลงทุนต่างมุ่งจีน แต่หลังจากวิกฤติโควิด-19 เศรษฐกิจจีนก็ชะลอตัวและเกิดความยุ่งยากในภาคอสังหาริมทรัพย์ ดึงให้เศรษฐกิจจีนทั้งระบบร่วงอย่างนึกไม่ถึง เศรษฐกิจของเอเชียที่กำลังมาแรงคืออินเดีย ประธานสถาบันวิจัย Hurun Research Institute ออกมายืนยันว่า ขณะนี้ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจอินเดีย เพิ่มมากเป็นประวัติการณ์
คนรวยที่สุดของอินเดียและของเอเชียคือนายมูเกช อัมบานี เดิมเป็นครอบครัวฮินดูซึ่งทำธุรกิจที่เยเมน แล้วก็อพยพกลับมาสร้างธุรกิจที่อินเดีย อัมบานีเป็นมังสวิรัติที่เข้มงวดมาก (มหาเศรษฐีอินเดียส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ นายกรัฐมนตรีและสมาชิกสภาทั้งราชสภาและโลกสภาจำนวนไม่น้อยก็เป็นมังสวิรัติ) คนรวยอันดับ 2 ของอินเดียคือนายโกตัม อดานี ซึ่งเป็นเศรษฐีผู้ใจบุญ ช่วยเหลือคนจน คนเจ็บป่วยด้วยเงินจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง
มหาเศรษฐีจีนยังคงเป็นนายจง ซานซาน ประธาน Nongfu Spring ซึ่งขายน้ำดื่มบรรจุขวด รวยเพราะหลังวิกฤติโควิด-19 คนจีนก็หันมาดื่มน้ำสะอาดกันทั้งประเทศ ส่วนอันดับ 2 คือนายจาง อีหมิง ผู้ก่อตั้งไบท์แดนซ์ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มติ๊กต่อก ตามด้วยอันดับ 3 คือนายหม่า ฮั่วเถิง ประธานเทนเซ็นต์ ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย WeChat ที่คนจีนใช้กันทั้งโลก
1 กุมภาพันธ์ 2024 รัฐบาลอินเดียประกาศแผนงบประมาณ ค.ศ.2024 นอกจากนั้นยังประกาศว่าภายใน ค.ศ.2030 หรืออีก 6 ปีข้างหน้า จะสร้างเศรษฐกิจอินเดียให้มีขนาด 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (254 ล้านล้านบาท) ซึ่งจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯและจีน
...
ทันทีที่มีสตางค์ อินเดียก็ทำเหมือนจีนคือเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สร้างถนนและท่าเรือ ต้องการจะสร้างบ้านให้ประชาชนเพิ่มเติมอีก 20 ล้านหลังภายใน 5 ปีจากนี้ ธนาคารกลางอินเดียคาดการณ์ ว่า ค.ศ. 2024 เศรษฐกิจอินเดียจะโตที่ร้อยละ 7 กองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปีงบประมาณ 2025 จะโตที่ร้อยละ 6.3-6.4 กระทรวงการคลังอินเดียประเมินจากการเก็บตัวเลขต่างๆ แล้วบอกว่า เศรษฐกิจอินเดียอาจจะเติบโตกว่าที่สถาบันต่างๆได้คาดการณ์ไว้
สามทศวรรษที่แล้ว โลกยังดูหมิ่นถิ่นแคลนคนจีนและอินเดีย ภาพลักษณ์ผู้คนจากสองประเทศนี้คือความยากจนข้นแค้น ภาพลักษณ์ของอินเดียเต็มไปด้วยขอทาน บทความหรือสารคดีที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับประเทศทั้งสองมักจะออกมาในแง่ลบ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ทั้งสองประเทศพุ่งทะยานขึ้นมาได้จนกลายเป็นประเทศแถวหน้าสุดของโลกคือการมีหัวหน้ารัฐบาลและรัฐบาลที่เอาจริงเอาจังในการพัฒนาเศรษฐกิจ รวมทั้งมุ่งมั่นกำจัดความยากจน
รัฐบาลอินเดียประกาศพัฒนาคน 4 กลุ่มคือ กลุ่มคนยากจน ผู้หญิง เยาวชน และเกษตรกร ส่วนรัฐบาลจีนไม่ต้องพูดถึง จีนทำสถิติขจัดความยากจนให้กับประชาชนได้ปีละเป็นสิบล้านคนอย่างต่อเนื่อง ช่วง 6 ปี (ค.ศ.2013-2018) จีนลดกลุ่มผู้ยากจนสะสมไปได้มากถึง 82.39 ล้านคน ทำให้จีนสามารถลดจำนวนผู้ยากจนได้มากที่สุดในโลกเป็นชาติรัฐแรก
รัฐบาลอินเดียพัฒนาประเทศอย่างเป็นขั้นตอน ตอนนี้ก็มุ่งไปที่ 8 รัฐเป้าหมายหลักคือ รัฐมหาราษฏระ รัฐกรณาฏกะ รัฐคุชราต รัฐทมิฬนาฑู รัฐเตลังกานา รัฐเบงกอลตะวันตก รัฐเจ็ดสาวน้อย (อัสสัม เมฆาลัย มิโซรัม มณีปุระ ตรีปุระ อรุณาจัลประเทศ นากาแลนด์) และนิวเดลี ความมุ่งหวังปรารถนาของอินเดียคือต้องการให้อินเดียเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก (แบบเดียวกับจีน) จึงกำหนดนโยบาย Make in India, Smart City และ Clean India เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ต่อไปในอนาคตเมื่อเอ่ยถึงชาติมหาอำนาจก็จะมี สหรัฐฯ จีน และอินเดียเป็นหลัก.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com
คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม