เศรษฐกิจญี่ปุ่นตกอยู่ในภาวะถดถอยอย่างไม่คาดคิด หลังจากที่เศรษฐกิจหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของญี่ปุ่นหดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.4% ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2566 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเกิดขึ้นหลังจากที่เศรษฐกิจหดตัว 3.3% ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าค่ามัธยฐานโดยประมาณสำหรับการเติบโต 1.4% ตัวเลขจากสำนักงานคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นยังบ่งชี้ด้วยว่า ญี่ปุ่นอาจสูญเสียตำแหน่งประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกให้แก่เยอรมนี
นักวิเคราะห์บางคนเตือนถึงการหดตัวของจีดีพีในไตรมาสปัจจุบัน เนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนแอในจีน การบริโภคที่ซบเซา และการหยุดการผลิตที่หน่วยหนึ่งของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยอุปสรรค
ทั้งนี้ การหดตัวของเศรษฐกิจ 2 ไตรมาสติดต่อกันถือเป็นคำจำกัดความทางเทคนิคของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ
แม้ว่านักวิเคราะห์หลายคนยังคงคาดหวังว่าธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ บีโอเจ จะยุติมาตรการกระตุ้นทางการเงินครั้งใหญ่ในปีนี้ แต่ข้อมูลดังกล่าวอาจทำให้เกิดความสงสัยว่าค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจะหนุนการบริโภคและรักษาอัตราเงินเฟ้อให้คงอยู่ตามเป้าหมายที่ 2%
สเตฟาน อังริก นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ Moody's Analytics กล่าวว่า "จีดีพีที่ลดลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน และอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง 3 ไตรมาสติดต่อกันถือเป็นข่าวร้าย แม้ว่าการแก้ไขอาจเปลี่ยนแปลงตัวเลขสุดท้ายที่ส่วนต่างก็ตาม" และกล่าวว่า "สิ่งนี้ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ยากขึ้น"
โยชิทากะ ชินโดะ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจญี่ปุ่น เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องบรรลุการเติบโตของค่าจ้างที่มั่นคงเพื่อสนับสนุนการบริโภค ซึ่งเขาอธิบายว่า "ขาดโมเมนตัม" เนื่องจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น เมื่อถามเกี่ยวกับผลกระทบต่อนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น เขากล่าวว่า "ความเข้าใจของเราคือ บีโอเจได้พิจารณาข้อมูลต่างๆ อย่างครอบคลุม รวมถึงการบริโภค และความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในการชี้นำนโยบายการเงิน"
...
ขณะที่เงินเยนทรงตัวหลังจากการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว และปิดที่ 150.22 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนในช่วงต้นสัปดาห์
เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส จีดีพีลดลง 0.1% เทียบกับการคาดการณ์เฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 0.3% และเทียบกับการหดตัว 0.8% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนการบริโภคภาคเอกชนซึ่งคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ลดลง 0.2% ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ซึ่งจะเพิ่มขึ้น 0.1% เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นและสภาพอากาศที่อบอุ่นทำให้ประชาชนเลือกที่จะไม่ออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านและซื้อเสื้อผ้าฤดูหนาว
ส่วนรายจ่ายการลงทุนซึ่งเป็นกลไกสำคัญอีกประการหนึ่งของการเติบโตของภาคเอกชน ลดลง 0.1% เทียบกับการคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น 0.3% เนื่องจากข้อจำกัดด้านอุปทานทำให้โครงการก่อสร้างต่างๆ ล่าช้า ข้อมูลยังเผยว่า อุปสงค์จากภายนอกคิดเป็น 0.2% ต่อจีดีพี เนื่องจากการส่งออกเพิ่มขึ้น 2.6% จากไตรมาสก่อนหน้า
ในงานแถลงข่าวที่โตเกียวในเดือนนี้ นางกีตา โกปินาธ รองกรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นอันดับตกต่ำลง ก็คือค่าเงินเยนที่ร่วงลงประมาณ 9% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าของเงินเยนได้ช่วยเพิ่มราคาหุ้นของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดบางแห่งของญี่ปุ่น เนื่องจากทำให้การส่งออกของประเทศ เช่น รถยนต์ มีราคาถูกกว่าในตลาดต่างประเทศ
ส่วนในสัปดาห์นี้ ดัชนีนิกเกอิ 225 ทะลุระดับ 38,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ทรุดตัวลงทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ โดยดัชนีนิกเกอิ 225 ทำสถิติสูงสุดที่ 38,915.87 เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2532.
ที่มา: Reuters
ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign