ผู้นำจีนยอมรับว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยังอยู่ในขั้นวิกฤติ หลังประเทศยังไม่สามารถรักษาระดับการฟื้นตัวให้มั่นคงได้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวระหว่างการประชุมคณะกรมการเมือง หรือ โปลิตบูโร แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อวันศุกร์ที่ 8 ธ.ค. 2566 ว่า การฟืนตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยังคงอยู่ในขั้นวิกฤติ หลังมีการเปิดเผยว่า เศรษฐกิจไตรมาส 3 ของจีน โตเพียง 4.9% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 5% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบหลายปี

“ในปัจจุบันนี้ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยังอยู่ในขั้นวิกฤติ” นายสีกล่าว และเรียกร้องให้มีมาตรการส่งเสริมเศรษฐกิจ เนื่องจาก “สถานการณ์ด้านการพัฒนาที่ประเทศกำลังเผชิญนั้นซับซ้อน จากการเพิ่มขึ้นของปัจจัยทางลบในด้านการเมืองระหว่างประเทศและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ”

“เป็นเรื่องจำเป็นที่จีนจะต้องมุ่งเน้นด้านการเร่งความเร็วในการสร้างระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่, ขยายอุปสงค์ภายในประเทศ และป้องกันรวมถึงขจัดความเสี่ยง” ผู้นำจีนกล่าว พร้อมย้ำถึงความจำเป็นในการพึ่งพาตนเองในภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญ และเร่งการวางแผนงานพัฒนาใหม่ๆ

ทั้งนี้ จีนกำลังประสบปัญหาในการรักษาระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเสียหายจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้ว่าพวกเขาจะยกเลิกมาตรการควบคุมโรคสุดเข้มงวดตั้งแต่สิ้นปี 2565 ก็ตาม

การส่งออก ซึ่งเป็นตัวผลักดันสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน เพิ่งเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังเพิ่มขึ้นในช่วงสั้นๆ เมื่อเดือนมีนาคมกับเมษายน แต่เป็นตัวเลขที่เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ผลกระทบจากนโยบายป้องกันโควิด-19 กำลังส่งผลมากที่สุดเท่านั้น

...

ขณะที่การนำเข้าในเดือนพฤศจิกายนลดลงอย่างเหนือความคาดหมาย ชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอของกิจกรรมผู้บริโภคในประเทศ

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจชื่อดังอย่าง ‘มูดีส์’ (Moody’s) ก็เพิ่งตัดลดแนวโน้มของระดับความน่าเชื่อถือลงจากระดับ ‘มั่นคง’ ไปเป็น ‘เชิงลบ’ โดยอ้างเรื่องความความเสี่ยงขาลง (downside risk) ในด้านการเงิน, เศรษฐกิจ และความเข้มแข็งทางสถาบันของจีน

ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ฉุดรั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีน ด้วยวิกฤติหนี้ที่หยั่งรากลึก ทำให้บริษัทผู้พัฒนารายใหญ่ของจีนล้มละลายไปหลายเจ้าแล้ว นอกจากนั้น ปัญหาหนี้สินยังทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในหมู่ผู้ซื้อ และส่งผลให้ราคาบ้านดิ่งลง เสี่ยงกระทบไปถึงภาคส่วนอื่นๆ

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : cna