องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกประกาศว่า ปี 2566 จะเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยอุณหภูมิโลกสูงขึ้นประมาณ 1.4 องศาเซลเซียส เหนือระดับยุคก่อนอุตสาหกรรม
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (ดับเบิลยูเอ็มโอ) ระบุเมื่อวันพฤหัสบดี (30 พ.ย.) ขณะที่อีก 1 เดือนจะสิ้นสุดปี แต่ปี 2566 ภาวะโลกร้อนจะส่งผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นประมาณ 1.4 องศาเซลเซียส เหนือระดับยุคก่อนอุตสาหกรรม
รายงานสถานะสภาพภูมิอากาศโลก ของ ดับเบิลยูเอ็มโอ ยืนยันว่าปี 2566 จะเป็นปีที่อบอุ่นที่สุดเป็นประวัติการณ์ สูงกว่าสถิติเดิมที่บันทึกได้ในปี 2559 ซึ่งโลกมีอุณหภูมิอุ่นกว่าค่าเฉลี่ยก่อนยุคอุตสาหกรรมประมาณ 1.2 องศาฯ ที่ทำให้บรรดาผู้นำโลกที่ร่วมการประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศประจำปีขององค์การสหประชาชาติ หรือ COP28 ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่นครดูไบต้องเผชิญความท้าทายในการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเร็วขึ้น
ปีเตอร์รี ทาลาส เลขาธิการดับเบิลยูเอ็มโอ กล่าวว่า "ระดับก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นประวัติการณ์ อุณหภูมิโลกสูงเป็นประวัติการณ์ ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ น้ำแข็งในทะเลแอนตาร์กติกต่ำเป็นประวัติการณ์"
อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยรายงานดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าโลกกำลังจะเกินขีดจำกัดภาวะโลกร้อนในระยะยาวที่ 1.5 องศาเซลเซียส ตามที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าเป็นตัวเลขสูงสุดในการหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ก่อให้เกิดหายนะ ภายใต้ข้อตกลงปารีสปี 2558
รายงานระบุว่า ปีนี้ น้ำแข็งในทะเลแอนตาร์กติกในช่วงฤดูหนาว ขยายตัวต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยน้อยกว่าสถิติครั้งก่อนประมาณ 1 ล้านตารางกิโลเมตร รายงานยังระบุว่า ธารน้ำแข็งของสวิตเซอร์แลนด์สูญเสียปริมาตรที่เหลืออยู่ประมาณ 10% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ขณะที่ไฟป่าได้เผาผลาญพื้นที่ป่าเป็นประวัติการณ์ในแคนาดา ซึ่งคิดเป็นประมาณ 5% ของพื้นที่ป่าของประเทศ
...
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ประกอบกับการปรากฏของปรากฏการณ์ "เอลนีโญ" ในแปซิฟิกตะวันออก ยิ่งผลักให้โลกเข้าสู่ขอบเขตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ปีหน้าอาจเลวร้ายกว่านั้น เนื่องจากผลกระทบของเอลนีโญมีแนวโน้มที่จะถึงจุดสูงสุดในฤดูหนาวนี้ และส่งผลให้อุณหภูมิจะสูงขึ้นในปี 2567.
ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign