เกิดเหตุสะเทือนขวัญ ชายคนร้ายบุกก่อเหตุกราดยิงที่เมืองลูอิสตัน รัฐเมน ในสหรัฐอเมริกา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18 ศพ และบาดเจ็บราว 50- 60 ราย ตำรวจเร่งล่ามือปืนที่ยังหลบหนี

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เมื่อคืนวันพุธที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น เกิดเหตุชายคนร้ายบุกก่อเหตุกราดยิงสุดสะเทือนขวัญ ทั้งที่ร้านอาหาร Schemengees Bar & Grille ลานโบว์ลิง Sparetime Recreation และศูนย์กระจายสินค้าของห้างวอลมาร์ต ในเมืองลูอิสตัน รัฐเมน ประเทศสหรัฐอเมริกา เบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18 ศพ และบาดเจ็บอีกราว 50- 60 คน

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เมืองลูอิสตัน ในรัฐเมน แจ้งผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งในเฟซบุ๊กและ X ว่า มีเหตุกราดยิงเกิดขึ้นในเมืองลูอิสตัน และผู้ก่อเหตุยังหลบหนี จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่หลบอยู่ในที่พักของตน และปิดประตูอย่างแน่นหนา โดยตอนนี้ตำรวจกำลังเร่งค้นหาตัวคนร้าย

สำนักงานตำรวจสหรัฐฯ เผยแพร่ภาพมือปืนก่อเหตุกราดยิง สะเทือนขวัญที่เมืองลูอิสตัน รัฐเมน ในสหรัฐอเมริกา เมื่อคืนวันพุธที่ 25 ต.ค.2566 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18 ศพ บาดเจ็บ 50-60 ราย
สำนักงานตำรวจสหรัฐฯ เผยแพร่ภาพมือปืนก่อเหตุกราดยิง สะเทือนขวัญที่เมืองลูอิสตัน รัฐเมน ในสหรัฐอเมริกา เมื่อคืนวันพุธที่ 25 ต.ค.2566 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18 ศพ บาดเจ็บ 50-60 ราย

...

ต่อมาสำนักงานตำรวจเมืองลูอิสตัน ได้ระบุชื่อมือปืนที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญแล้ว คือ นายโรเบิร์ต คาร์ด วัย 40 ปี หลังจากก่อนหน้านี้ ได้โพสต์รูปของมือปืนที่ต้องสงสัยก่อเหตุ ซึ่งถือปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ และรถ SUV สีขาว ที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะในการก่อเหตุ 

ขณะเดียวกัน สำนักงานนายอำเภอเขตแอนดรอสคอกกิน เคาน์ตี้ ได้เผยแพร่ภาพถ่ายของผู้ต้องสงสัย 2 รูปทางเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นชายไว้หนวดเครา สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวและกางเกงยีนส์ พร้อมด้วยปืนไรเฟิล 1 กระบอก กำลังเดินเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่ง และขอให้ประชาชนช่วยแจ้งเบาะแส หากพบเห็นชายคนดังกล่าว

ด้านหน่วยงานกำกับดูแลด้านการศึกษาในเมืองลูอิสตัน ได้ประกาศให้โรงเรียนในพื้นที่ปิดการเรียนการสอนในวันพฤหัสบดีที่ 26 ต.ค. 

แองกัส คิง สมาชิกวุฒิสภาอิสระของรัฐเมน กล่าวว่า “เขาเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองลูอิสตัน รวมทั้งผู้ได้รับบาดเจ็บ และครอบครัวของผู้เสียชีวิต” และกำลังติดตามสถานการณ์อยู่

ติดตามข่าวต่างประเทศได้ที่ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : AljazeeraBBCReuters