ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน ออกปากชมรัฐบาลประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ใช้เวลาเพียง 74 ปีนำพาชาวจีน 1,400 ล้านคน รอดพ้นวิกฤติและความยากจน กระทั่งปัจจุบันไม่เหลือคนยากจนในจีนแล้ว

นายพินิจ จารุสมบัติ ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน ให้สัมภาษณ์ในโอกาสประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเดินทางมาครบรอบปีที่ 74 แห่งการก่อร่างสร้างตัวจากระบบสังคมนิยมจนกลายเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียว่า วันนี้จีนเป็นผู้นำสังคมโลกที่ไม่เคยรุกรานใคร และการผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำในอีกซีกโลกนี้ มีแต่ให้ความช่วยเหลือแก่มิตรประเทศต่างๆ มากกว่า 100 ประเทศ

ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และระบบการขนส่งที่ทำให้โลกสามารถเชื่อมต่อกันได้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศในทวีปแอฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก หรืออเมริกาใต้

จีนจึงได้รับความเชื่อมั่นจากนานาอารยประเทศทั่วโลกว่า ที่สุด จีนก็กลายเป็นประเทศที่สามารถคานอำนาจกับประเทศในโลกตะวันตกและอเมริกาที่ครองเศรษฐกิจของโลกมาตลอดระยะเวลานานสำเร็จ

“ที่เหลือเชื่อก็คือ จีนใช้เวลาเพียง 74 ปีเท่านั้นในการลุกจากการเป็นคนป่วยของเอเชียมาเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับที่ 2 ของโลกที่แม้จะมีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคน และเคยมีคนอดอยากยากจนอยู่มากถึง 740 ล้านคน...แต่ในที่สุดรัฐบาลจีนก็สามารถเอาชนะความยากจนนี้สำเร็จในปี ค.ศ.2020 กระทั่งปัจจุบัน จีนไม่มีคนยากจนอีกต่อไป จะมีก็แต่คนที่มีอันจะกินมาก และประชากรที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน กล่าว

นายพินิจ ยังกล่าวด้วยว่า ทุกวันนี้ รัฐบาลจีนสามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายภายในประเทศให้แก่ประชาชนชาวจีน สามารถใช้ในยามที่โลกเกิดปัญหาวิกฤติได้ นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดเป็นต้นมา

รัฐบาลจีนสามารถสร้างรถไฟความเร็วสูงในประเทศได้หลายหมื่นกิโลเมตรเพื่อการเดินทางระหว่างมณฑล ปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่น้ำประปา ไฟฟ้า ไปถึงถนนหนทางให้เกิดการเชื่อมต่อในประเทศได้ง่าย ขณะเดียวกันก็มีการเตรียมความพร้อมด้านอาหารไว้มากมายให้แก่ประชาชนในประเทศไม่เกิดปัญหาเรื่องการขาดแคลนอาหาร

ในขณะที่การเตรียมความพร้อมด้านการพัฒนาเทคโนโลยีของจีนล้ำหน้าไปไกลกว่ามาตรฐานโลกโดยปัจจุบัน หัวเว่ย บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของจีนสามารถเป็นเจ้าของเทคโนโลยีการผลิตชิปที่พัฒนาถึงขั้นที่เรียกว่า “7 นาโนเมตร” ที่สามารถลดการใช้พลังงาน หรือแบตเตอรี่ลงได้มากและสูงกว่ามาตรฐาน บริษัทเทคโนโลยีแบรนด์ดังของโลกหลายก้าว

“นโยบายแก้ปัญหาความยากจนของประธานาธิบดีสีคือ มุ่งไปยังหมู่บ้านที่ยากจน และเข้าหาประชาชนเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดในลักษณะที่ออกแบบเป็นพิเศษให้แก่หมู่บ้านนั้นๆ เหมือน Tailor-made ที่สั่งตัดตามขนาด และปัญหาที่คนเหล่านั้นประสบ พูดง่ายๆ ก็คือ เขาแจกคันเบ็ดให้ ไม่ได้แจกเงิน”

ส่วนนโยบาย 1 แถบ 1 เส้นทาง หรือ One Belt One Road จำนวน 3 แถบ ได้แก่ 1.เส้นทางจากจีนสู่เอเชียกลาง รัสเซีย และยุโรป 2.จากจีนสู่เอเชียกลาง เอเชียตะวันตก เพื่อไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และ 3.จากจีนเข้าเอเชียอาคเนย์ เอเชียใต้ ไปออกมหาสมุทรอินเดีย โครงการเหล่านี้จีนลงทุนไปเป็นแสนล้านเหรียญแล้ว และเสร็จสิ้นไปด้วยดี

สำหรับประเทศจีนกับไทย ซึ่งมีสัมพันธ์ทางการค้ากันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเรื่อยมาจนถึงสมัยของพระนารายณ์มหาราช ก่อนเข้าสู่กรุงรัตนโกสินทร์นั้น ไทยและจีนได้ทำการค้ากันอย่างแนบแน่นกันนานถึง 48 ปีแล้วจนถึงปัจจุบัน มีนักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงเป็นอันดับ 1 ในมูลค่ามากถึง 135,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ลงทุนในอาเซียน 500,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

จากตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ จีนนำเข้าผลไม้ไทยเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 41.3% คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 4,912.3 ล้านเหรียญสหรัฐ จากมูลค่ารวมการส่งออกไปทั่วโลก 5,654.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และถ้านับการลงทุนเป็นคู่ค้ากัน ปัจจุบันจีนก็ยังคงเป็นคู่ค้ากับไทยอันดับ 1

“ผมอยากเห็นรัฐบาลชุดนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการลงทุนของจีนในไทยใน 2 ปีข้างหน้าเป็น 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ ที่ทั้งสองประเทศต่างก็มีสิ่งบ่งชี้ทางประวัติศาสตร์คล้ายๆ กันในหลายจุด”

เมื่อถามถึงความหวาดกลัวว่า จีนอาจจะกลืนประเทศไทยเหมือนหลายประเทศในอินโดจีน ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน ให้ความเห็นว่า การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะสามารถกลืนชนชาตินั้นๆ ได้ ต้องขึ้นอยู่กับคนในประเทศนั้นเองว่าเขามีความหนักแน่น รักชาติ มีวินัย และคุณภาพมากพอจะยึดความเป็นตัวตนไว้ได้หรือไม่

ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าคนไทยรักชาติ รักษากฎหมายเคร่งครัด และมีความรู้ความเฉลียวฉลาดพอ สิ่งที่ว่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น สำหรับคนจีนที่เข้ามาวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจที่มีศักยภาพมากพอ และมีทุนเพียงพอสำหรับการลงทุน ซึ่งต้องผ่านการขออนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อนจึงจะเข้ามาได้

“ทุกวันนี้ รัฐบาลจีนเข้มงวดมากที่จะอนุญาตให้คนของเขาออกมา และที่ปล่อยให้ออกมาก็ล้วนแต่เป็นนักธุรกิจ และเศรษฐีทั้งนั้น เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาคนจีนไม่ดี หรือจีนเทาเข้ามาสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยอีก” ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน กล่าวในที่สุด

จีนไทยใช่อื่นไกล...พี่น้องกัน

ประเทศจีนและประเทศไทยมีประวัติการไปมาหาสู่กันฉันมิตรนับพันปี ไมตรีจิตอันแสนพิเศษล้วนตอกย้ำว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล...พี่น้องกัน” ทั้งสองประเทศต่างเชื่อใจกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาโดยตลอด นอกจากจะสร้างความร่วมมือระหว่างกันอย่างต่อเนื่องเพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ จีนและไทยยังมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองของโลกร่วมกัน

พล.อ.วิชิต ยาทิพย์
พล.อ.วิชิต ยาทิพย์

ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา และอดีตรอง ผบ.ทบ.ที่มีความใกล้ชิดกับจีนมานาน “พล.อ.วิชิต ยาทิพย์” รองประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ ชี้ถึง 3 หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนจีนไปสู่ความเป็นสังคมนิยมใหม่ทันสมัยทุกมิติ ภายใต้การนำของ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน

1. จีนปราบปรามคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถ้าถูกจับกุมต้องถูกลงโทษประหารชีวิต 2.  เรื่องวินัยของประชาชน จีนสร้างวินัยตั้งแต่เด็กให้เคารพพ่อแม่ ในองค์กรต้องฟังกัน ไล่มาตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน, ตำบล, อำเภอ และ 3. มีอินโนเวชั่น หรือนวัตกรรมที่ดี ทางการจีนใช้เงินมหาศาลในการคิดค้นนวัตกรรม สามารถผลิตสินค้าได้ตามมาตรฐานของประเทศต้นแบบ ทำให้สินค้าจากจีนมีคุณภาพสูงขึ้น บริษัทใหญ่ระดับโลกก็มุ่งเข้าสู่การผลิตที่ประเทศจีนแทบทั้งหมด จาก 3 ปัจจัยดังกล่าว ทำให้จีนสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้ภายในระยะเวลาเพียง 10 ปี

จุดแข็งอีกอย่างของประเทศจีนคือ จีนบากบั่นต่อสู้เอาชนะความยากจนและความอดอยากมาได้ กระทั่งปัจจุบันสามารถยืนหยัดขึ้นมาเหนือกว่าหลายประเทศ แต่จีนจะไม่ดูถูกประเทศใดๆ และจีนไม่เคยพูดจาโอ้อวด การที่จีนเติบโตด้วยตัวเอง ด้วยความยิ่งใหญ่ของตัวเอง “พล.อ.วิชิต” เชื่อมั่นว่า ในโอกาสข้างหน้าประเทศจีนจะเป็นผู้นำของโลกได้ไม่ช้าก็เร็ว สังเกตว่าปัจจุบันนี้หลายประเทศในยุโรปวิ่งเข้ามาสานความสัมพันธ์กับประเทศจีน ก็อยากให้จีนและไทยมีความสัมพันธ์ยืนยาวนานตลอดไป สมกับที่ไทยเป็นญาติสนิทกับจีน ดังคำกล่าวที่ว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล... พี่น้องกัน”

นายสมชาย ศุภสัญญา
นายสมชาย ศุภสัญญา

ด้าน “นายสมชาย ศุภสัญญา” รองประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ บอกเล่าว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไทยผูกพันกันมายาวนานมาก เวลาที่นักธุรกิจจีนอยากมาลงทุนในไทยจะอาศัยสมาคมต่างๆ ในไทยเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ อย่างสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ ในแต่ละปีจะร่วมมือกับสถาบันพระปกเกล้า ส่งนักเรียนไทยไปอบรมหลักสูตรภาษาจีนกลาง ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ปีนี้ได้พานักเรียนไทยไปเรียนรู้ภาษาจีนและวัฒนธรรมจีน 50 คน โดยรับทุนจากรัฐบาลจีน เมื่อเกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนกับไทย ทำให้คนไทยได้รู้จักชาวจีนมากขึ้น ชาวจีนได้รู้จักคนไทยมากขึ้น นักเรียนเหล่านี้ จะนำความรู้กลับมาพัฒนาประเทศไทยได้ต่อไป ทำให้ลูกหลานของชาวจีนและไทยได้รู้จัก สนิทกันมากยิ่งขึ้น ทำให้การค้าการลงทุนระหว่างจีนกับไทยคึกคักขึ้น อย่างการค้าช่วงต้นปี เพียง 5 เดือนไทยสามารถส่งออกทุเรียนไปจีนมากถึง 400,000 ตัน นอกจากนี้ ยังมีมะพร้าว, ลำไย, ข้าว, แป้งมัน ผลิตผลทางการเกษตรบางอย่างมียอดการส่งออกสูงถึงพันล้านบาท หรือหมื่นล้านบาท เป็นเพราะความสัมพันธ์อันดีเหมือนพี่เหมือนน้อง ทำให้มีการค้าระหว่างจีนกับไทยมาตลอด และเชื่อมั่นว่าจะเป็นเช่นนี้สืบต่อไปในอนาคต ล่าสุด จีนเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตรถ EV ในเมืองไทย 6-7 โรงงาน ต่อไปในอนาคตจะมีการตั้งฐานการผลิตมากขึ้น ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางผลิตรถ EV นำรายได้มหาศาลเข้าสู่ประเทศไทย โดยเหตุผลที่จีนเลือกไทยเป็นฐานการผลิตก็เนื่องจากความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนาน ที่สำคัญประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางของอาเซียน มีความสะดวกในระบบการขนส่ง โดยเฉพาะทางรถไฟความเร็วสูง ที่สามารถเชื่อมต่อได้จากประเทศไทย, ประเทศลาว และประเทศจีน ทำให้การค้าของประเทศไทยขยับขึ้นมาได้มากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาการจัดส่งทุเรียนจากจังหวัดระยองไปประเทศลาว และคุนหมิง ประเทศจีน ใช้เวลาเพียง 3 วันก็ถึง และใช้เวลาอีก 1 วัน สามารถส่งไปถึงตอนเหนือของประเทศจีน รวมใช้เวลาเพียง 4 วันเท่านั้น ผลมาจากระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ในอนาคตข้างหน้าก็ขอให้ทั้งจีนและไทยเจริญรุ่งเรือง, มั่งคั่ง, แข็งแกร่ง และก้าวหน้าไปด้วยกัน โดยมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งๆ ขึ้นไป

นายสุเทพ รุ่งวิทยนันท์
นายสุเทพ รุ่งวิทยนันท์

อีกหนึ่งรองประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ “นายสุเทพ รุ่งวิทยนันท์” กล่าวเสริมถึงความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของจีนว่า อยากเห็นประเทศจีนเป็นหลักทางเศรษฐกิจของโลก มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจไปอย่างยาวนาน ไม่เพียงแค่เพื่อประเทศจีนอย่างเดียว แต่เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนชาวโลก ที่จะได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของจีนเพื่อมวลมนุษยชาติ