• ผลการศึกษาเผยข้อมูลที่น่าตกใจในวงการแพทย์อังกฤษ โดยพบว่าศัลยแพทย์สาวถึง 2 ใน 3 ตกเป็นเป้าหมายของการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งผู้ก่อเหตุก็คือเพื่อนร่วมงานของพวกเธอ
  • เหยื่อล่วงละเมิดทางเพศส่วนใหญ่มักจะเป็นแพทย์หญิงฝึกหัด ซึ่งถูกศัลยแพทย์รุ่นพี่ล่วงละเมิด โดยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำๆในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่ผู้ถูกกระทำมักไม่กล้ารายงาน เนื่องจากกลัวกระทบต่อหน้าที่การงานของตัวเอง
  • การล่วงละเมิดทางเพศที่พบเกิดขึ้นในหลายรูปแบบนับตั้งแต่การถูกเนื้อต้องตัว ตามแขน การจับหน้าอก ไปจนถึงการเสนอโอกาสการทำงานแลกกับการมีเพศสัมพันธ์ และเลวร้ายที่สุดคือถูกข่มขืน 

นับเป็นเรื่องราวที่ตีแผ่ความอื้อฉาวในแวดวงการแพทย์ของอังกฤษครั้งใหญ่ เมื่อสื่ออังกฤษเปิดเผยผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เอ็กเซเตอร์ ร่วมกับมหาวิทยาลัย เซอร์เรย์ และกลุ่มคณะทำงานเพื่อรณรงค์ยุติการล่วงละเมิดในแวดวงผ่าตัด ที่พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีศัลยแพทย์สาวจำนวนมาก ตกเป็นเป้าหมายของการล่วงละเมิดทางเพศ หนำซ้ำรูปแบบการกระทำแบบนี้ก็ยังคงเกิดจนถึงทุกวันนี้ภายในโรงพยาบาลในเครือของหน่วยงานบริการสุขภาพแห่งชาติ หรือ NHS ซึ่งผลการค้นพบครั้งนี้ทำให้ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์ของอังกฤษระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่ง

...

จากการสอบถามเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ต่างให้ข้อมูลว่า การล่วงละเมิดทางเพศที่พบเกิดขึ้นในหลายรูปแบบนับตั้งแต่การถูกเนื้อต้องตัว ลูบไล้ตามแขน สัมผัสโดนหน้าอก ไปจนถึงการเสนอโอกาสการทำงานแลกกับการมีเพศสัมพันธ์ และเลวร้ายที่สุดคือถูกข่มขืน โดย 2 ใน 3 ของศัลยแพทย์หญิงที่ให้ข้อมูลกับนักวิจัยระบุว่า พวกเธอตกเป็นเป้าของการล่วงละเมิดทางเพศ และ 1 ใน 3 ระบุว่าพวกเธอถูกเพื่อนร่วมงานล่วงละเมิดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่พวกเธอไม่กล้าที่จะบอกเรื่องนี้กับใครเพราะกลัวว่าจะกระทบต่อหน้าที่การงานของพวกเธอ และไม่แน่ใจว่าหน่วยงานต้นสังกัดหรือ NHS จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร

หนึ่งในเหยื่อที่เปิดเผยชื่อว่า จูดิธ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาศัลยแพทย์ เล่าว่า เธอเคยเจอกับประสบการณ์เลวร้ายในห้องผ่าตัดในตอนที่เธอเพิ่งเริ่มงานใหม่ๆ และยังไม่มีอำนาจใดๆ โดยในเวลานั้นศัลยแพทย์ชายที่อาวุโสกว่ากำลังผ่าตัดและเหงื่อออก จากนั้นเขาก็หันมาหาเธอและซุกหน้าไปที่หน้าอกของเธอเพื่อเช็ดเหงื่อ เท่านั้นยังไม่พอเขายังทำอีกเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเธอรู้สึกขยะแขยงและตกใจ แต่ก็ทำได้เพียงเสนอจะไปเอาผ้าเช็ดหน้ามาให้แทน แต่เขากลับตอบว่า ไม่เอา แบบนี้สนุกกว่า  แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือเพื่อนร่วมงานของเธอทุกคนไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย

แอนน์ (นามสมมติ) เป็นเหยื่ออีกคนที่เปิดใจกับสำนักข่าวบีบีซี เพราะเธอเชื่อว่าทุกสิ่งจะเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อมีคนกล้าพูดออกมาเท่านั้น โดยกรณีของเธอถึงขั้นถูกขืนใจ โดยเกิดขึ้นในงานอีเวนต์การประชุมทางการแพทย์ โดยในตอนนั้นเธอเป็นเพียงแพทย์ฝึกหัด และผู้ก่อเหตุเป็นที่ปรึกษาของเธอ โดยเธอระบุว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะเธอเชื่อใจเขา เพียงเพราะเธอยอมให้เขาไปส่งเธอที่ที่พัก แต่เขากลับใช้โอกาสนั้นขืนใจเธอ โดยที่เธอไม่คาดคิด

สั่นคลอนความเชื่อมั่นในตัวศัลยแพทย์

นับเป็นวัฒนธรรมภายในที่ยอมรับกันมานานที่จะยอมปิดปากเงียบกับพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านี้ เพราะศัลยแพทย์ฝึกหัดมักจะต้องเรียนรู้จากรุ่นพี่ และเพื่อนร่วมงานในการศึกษาการผ่าตัด โดยเฉพาะผู้หญิงจะถูกหล่อหลอมมาว่า ไม่ควรจะป่าวประกาศเรื่องนี้ ยิ่งถ้าหากคู่กรณีเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า หรือมีอิทธิพลต่ออาชีพการงานของพวกเธอ

แต่การตีพิมพ์รายงานเรื่องนี้ทางวารสาร บริติช เจอร์นัล ออฟ เซอเจอรี นับเป็นครั้งแรกในความพยายามที่จะเปิดโปงและแก้ไขให้เรื่องที่บิดเบี้ยวอยู่นี้ให้กลับมาอยู่ในครรลองที่ควร โดยเปิดโอาสให้ศัลยแพทย์ทั้งชายและหญิง สามารถเข้าไปกรอกข้อมูลได้ตามความสมัครใจโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน โดยมีคนเข้าไปร่วมให้ข้อมูล 1,434 คน ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิง โดยจากข้อมูลพบว่า

...

63 เปอร์เซ็นต์ ของผู้หญิงตกเป็นเป้าของการล่วงละเมิดทางเพศจากเพื่อนร่วมงาน

30 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมงาน

11 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงรายงานว่า เคยถูกบีบบังคับในการสัมผัสทางกาย เพื่อแลกกับโอกาสในหน้าที่การงาน และมีอย่างน้อย 11 เหตุการณ์ที่ถึงขั้นถูกข่มขืน

90 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิง และ 81 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชาย เคยพบเห็นการพยายามล่วงเกิน หรือล่วงละเมิด ในขณะที่ในรายงานยังแสดงให้เห็นว่าผู้ชายเองก็ตกเป็นเหยื่อได้ด้วยเช่นกัน โดยมี 24 เปอร์เซ็นต์ เคยถูกล่วงละเมิด ซึ่งการค้นพบครั้งนี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อวิชาชีพนี้ไม่น้อย และย่อมเกิดคำถามว่า ผู้หญิงที่จะเข้ามาทำอาชีพศัลยแพทย์ยังมีความปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งการเปิดเผยข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นเพียงบันไดขั้นแรกที่จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม ที่จะต้องไม่ทนกับการถูกล่วงละเมิดในที่ทำงาน โดยเฉพาะจากผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานอีกต่อไป รวมทั้งต้องมีกลไกบางอย่างของต้นสังกัดที่จะช่วยเหลือ ดูแลผู้ที่ตกเป็นเหยื่อให้กล้าที่จะออกมาแสดงตัว และนำไปสู่บทลงโทษของผู้กระทำผิดอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้กระทำผิดเกิดความเกรงกลัวที่จะเป็นฝ่ายสูญเสียหน้าที่การงาน แทนที่จะต้องให้เหยื่อผู้บริสุทธิ์ต้องกลายเป็นผู้หวาดกลัวทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้กระทำผิดอะไรเลย.

...

ผู้เขียน : อาจุมมาโอปอล

ติดตามรายงานพิเศษที่น่าสนใจได้ที่  special content