20 ปีก่อน เราพูดกันถึงเรื่องโลกร้อนเลยมาจนถึง Climate Change แต่วันนี้เรื่องที่ว่านั้นกำลังหมดยุคไปแล้ว นับตั้งแต่ นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ออกมาเตือนว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคโลกเดือด หรือ Global Boiling แล้ว

เหตุผลดังกล่าวสอดคล้องกับการออกมาเตือนของบรรดานักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศที่ระบุว่า ภาวะโลกเดือดจะเริ่มต้นนับหนึ่งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป

เลขาธิการสหประชาชาติบอกว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นแล้ว และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ภาพของโลกระอุ ปรากฏขึ้นในหลายๆ พื้นที่ของโลก ไม่ว่าจะเป็นไฟป่าในแคนาดา ยุโรปใต้ และแอฟริกาเหนือ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวและน่าสลดใจมาก เมื่อเด็กๆถูกฝนในฤดูมรสุมพัดพาไป  ครอบครัวที่วิ่งหนีเปลวเพลิงและคนงานทรุดตัวลงด้วยความร้อนที่แผดเผา ล้วนเป็นภาพที่ประหลาดและเราไม่เคยเห็นสภาพเช่นนี้มาก่อน

คาร์โล บูเอ็นเทมโป ผู้อำนวยการ Copernicus Climate Change Service บอกว่า ในช่วง 3 สัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม 2566 มี 3 วันที่อากาศร้อนราวกับเป็น Heat Wave ที่ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลและสภาพอากาศที่รุนแรง และถือว่าเป็นวันที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์

...

“ความผิดปกตินี้มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับเดือนอื่นที่มีทำลายสถิติในบันทึกของเรา”  ผอ. Copernicus Climate Change Service บอก 

ขณะที่ คาร์สเทน เฮาสไตน์ นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศจากมหาวิทยาลัยไลป์ซิก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาอากาศของโลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส หรือราว 2.7 องศาฟาเรนไฮต์ มากกว่าค่าเฉลี่ยในเดือนก่อนๆที่ผ่านมาในรอบหลายสิบปี เฮาสไตน์  ใช้การประมาณอุณหภูมิโลกจาก National Oceanic and Atmospheric Admini stration ในสหรัฐอเมริกา และพบว่าอากาศในเดือนกรกฎาคม 2566 ได้ทำลายสถิติเดิมปี 2562 ถึง 0.2 องศาเซลเซียส

ไม่ใช่แค่นั้น เซเก เฮาส์แฟเธอร์ นักวิทยา ศาสตร์ด้านภูมิอากาศที่ Berkeley Earth ซึ่งใช้เครื่องมือจากนักอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่นและยุโรปในการประเมิน พบว่าอากาศที่ร้อนระอุกำลังเพิ่มขึ้นเข้าใกล้ 0.3 องศาเซลเซียสแล้ว

นอกจากนี้ ในมหาสมุทรก็พบว่าอุณหภูมิในมหาสมุทรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยส่อเค้ามาตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา

คริส เฮวิตต์ ผู้อำนวยการ Climate Services ของ WMO ระบุว่า จากชุดข้อมูล 173 ปี ปี 2015 ถึง 2022 ที่มี 8 ปีและร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์นั้นเป็น “ทศวรรษที่ร้อนขึ้นอย่างชัดเจนและรวดเร็ว” แม้จะมีปรากฏการณ์ลานีญาที่ทำให้น้ำทะเลในภูมิภาคแปซิฟิกเย็นลง และดึงอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ดี ปรากฏการณ์ลานีญาสิ้นสุดลงแล้วและกำลังถูกแทนที่ด้วยปรากฏการณ์เอลนีโญที่ทำให้น้ำทะเลร้อนขึ้น น้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนเริ่มร้อนขึ้น ทำให้มีความน่าจะเป็นที่ใน 5 ปีข้างหน้าจะร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์

จากสถานการณ์อันน่าสะพรึงกลัวดังกล่าวทำให้สหประชาชาติต้องออกมาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินการระดับโลกด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate adaptation) และการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate finance) จนทำให้เกิดวลีเด็ดจาก นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ที่ออกมาเตือนว่า The era of global warming has ended and the era of global boiling has arrived หรือ “ยุคโลกร้อนสิ้นสุดลงแล้ว” และ “ยุคโลกเดือด global boiling กำลังเริ่มขึ้น”

...

กูเตร์เรสบอกว่า สำหรับพื้นที่ส่วนใหญ่ของอเมริกาเหนือ เอเชีย แอฟริกา และยุโรปแล้วมันคือฤดูร้อนที่แสนทรมาน แต่สำหรับโลกทั้งใบ มันคือ หายนะ และสำหรับนักวิทยาศาสตร์มันเป็นเรื่องที่แจ่มแจ้ง นี่คือสัญญาณเตือนให้ผู้นำทุกประเทศโดยเฉพาะผู้นำจากประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ G20 ซึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนรวมกันถึง 80% ของการปล่อยมลพิษทั่วโลกต้องเร่งยกระดับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศโดยเร่งด่วน

“อากาศก็ใช้หายใจไม่ได้แล้ว ความร้อนก็ทนกันไม่ไหวแล้ว ระดับของผลกำไรจากเชื้อเพลิงฟอสซิลและการเฉยเมยของสภาพอากาศเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ ผู้นำต้องเป็นผู้นำ ไม่มีความลังเล ไม่มีข้อแก้ตัวอีกต่อไป ไม่ต้องรอให้ผู้อื่นเคลื่อนไหวก่อนอีกต่อไป ไม่มีเวลาอีกแล้วสำหรับเรื่องพวกนี้”  กูเตร์เรสบอกและว่า เรื่องนี้จะถูกนำไปหารือในการประชุมสุดยอด UN Climate Ambition ในเดือนกันยายน และการประชุม COP28 ในดูไบ ในเดือนพฤศจิกายน แน่นอน

ทั้งนี้ เขาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการกำหนดเป้าหมายการปล่อยมลพิษแห่งชาติใหม่จากสมาชิก G20 และกระตุ้นให้ทุกประเทศผลักดันให้ลดการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ภายในกลางศตวรรษนี้ พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมมือกันเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นพลังงานหมุนเวียนอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม หยุดการขยายตัวของน้ำมันและก๊าซ และเลิกใช้ถ่านหินภายในปี 2583 ประเทศที่พัฒนาแล้วต้องนำเสนอแผนงานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือในการเพิ่มเงินลงทุนเพื่อการปรับตัวเป็น 2 เท่าภายในปี 2568 และรัฐบาลทุกประเทศควรดำเนินการตามแผนปฏิบัติการของสหประชาชาติที่มีเป้าหมายเพื่อให้ทุกคนบนโลกได้รับการคุ้มครองโดยระบบเตือนภัยล่วงหน้าภายในปี 2570

...

ในด้านการเงิน เลขาธิการสหประชา ชาติเรียกร้องให้ประเทศที่ร่ำรวยกว่าปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่จะมอบเงิน 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีสำหรับการสนับสนุนด้านสภาพอากาศในประเทศกำลังพัฒนา และเติมกองทุน Green Climate Fund ให้เต็มจำนวน เพื่อสนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพอากาศแบบเร่งด่วนโดยมาตรการจะรวมถึงการกำหนดราคาคาร์บอนและการให้ธนาคารเพื่อการพัฒนาระดับพหุภาคีเพิ่มเงินทุนสำหรับพลังงานหมุนเวียน การปรับตัวรับสภาพภูมิอากาศ และความเสียหายจากอากาศที่ร้อนขึ้นจนโลกเดือด.