พิพิธภัณฑ์บริติชมิวเซียมในกรุงลอนดอน เลิกจ้างพนักงานคนหนึ่งหลังพบว่าสิ่งของที่เก็บรักษาไว้สูญหาย ถูกขโมย หรือได้รับความเสียหาย

พิพิธภัณฑ์บริติชมิวเซียมในกรุงลอนดอน เปิดเผยว่าพนักงานคนหนึ่งถูกเลิกจ้างหลังจากสิ่งของที่มีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 15 ก่อนคริสต์ศักราช พบว่าสูญหาย ถูกขโมย หรือได้รับความเสียหาย

พิพิธภัณฑ์กล่าวว่าได้สั่งให้มีการตรวจสอบความปลอดภัยโดยอิสระ และแผนการที่เข้มงวดในการกู้คืนสิ่งของที่หายไป

พิพิธภัณฑ์กล่าวว่า สิ่งของที่ถูกขโมย ยังรวมถึงเครื่องประดับทองและอัญมณีกึ่งรัตนชาติและแก้วที่มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ก่อนคริสต์ศักราช จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ส่วนใหญ่เป็นสิ่งของขนาดเล็กที่เก็บไว้ในห้องเก็บของ และไม่มีการถูกนำออกมาจัดแสดงเมื่อเร็วๆ นี้ 

จอร์จ ออสบอร์น ประธานของพิพิธภัณฑ์กล่าวว่า "สิ่งที่เราให้ความสำคัญขณะนี้มี 3 ข้อ อย่างแรกคือการนำของที่ถูกขโมยไปกลับคืนมา อย่างที่สองคือการค้นหาว่า มีมาตรการใดๆ หรือไม่ที่สามารถทำได้เพื่อยับยั้งปัญหานี้ และประการที่สาม คือการใช้งบประมาณเพื่อการลงทุนด้านความปลอดภัยและการเก็บบันทึก เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก"

พิพิธภัณฑ์กล่าวว่าจะดำเนินการทางกฎหมายกับพนักงานที่ถูกไล่ออก และเรื่องนี้อยู่ภายใต้การสอบสวนของสำนักงานตำรวจนครบาลของลอนดอน

พิพิธภัณฑ์บริติชมิวเซียม ซึ่งมีอายุ 264 ปี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในลอนดอน มีของสะสมราว 8 ล้านรายการ ซึ่งครอบคลุมประวัติศาสตร์มนุษย์ยาวนาน 2 ล้านปี และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาชมโบราณวัตถุจำนวนมาก ตั้งแต่หินโรเซตตาที่ช่วยเผยให้เห็นภาษาอียิปต์โบราณ ไปจนถึงม้วนหนังสือที่มีบทกวีจีนในศตวรรษที่ 12 และ หน้ากากที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยชนพื้นเมืองของแคนาดา

...

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังก่อให้เกิดความขัดแย้ง เนื่องจากแสดงการต่อต้านเสียงเรียกร้องจากหลายประเทศทั่วโลกให้ส่งคืนสิ่งของที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ได้มาในยุคของจักรวรรดิอังกฤษ โดยข้อพิพาทที่มีชื่อเสียงที่สุด ได้แก่ งานแกะสลักหินอ่อนจากวิหารพาร์เธนอนในกรีซ และงานสัมฤทธิ์ของเบนินจากแอฟริกาตะวันตก

ฮาร์ตวิก ฟิชเชอร์ ผู้อำนวยการบริติชมิวเซียม แสดงการขอโทษและกล่าวว่าสถาบันมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานี้ให้ถูกต้อง เขากล่าวว่า "นี่เป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติอย่างมาก ผมพูดแทนเพื่อนร่วมงานทุกคนว่าเราให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งของทั้งหมดที่อยู่ในความดูแลของเราอย่างจริงจังอย่างยิ่ง."

ติดตามข่าวต่างประเทศได้ที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign