เห็นได้ชัดในขณะนี้ว่ามหาอำนาจเก่า “สหรัฐอเมริกา” กำลังพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพันธมิตรเก่าในภูมิภาคเอเชียอย่างเข้มข้น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เปิดทำเนียบขาวต้อนรับนายยุน ซอก ยอล ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ต่อทันทีด้วยนายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ หวังยกระดับความร่วมมือทางความมั่นคง ขอแรงสนับสนุนช่วยยูเครน ขยายฐานทัพอเมริกัน
หลังจากทำพังไปเยอะในยุคของอดีตผู้นำ “โดนัลด์ ทรัมป์” ซึ่งนับเป็นห้วงเวลา 4 ปีที่อเมริกันไม่แคร์ใคร ตัวเองต้องมาเป็นอันดับหนึ่งภายใต้นโยบายอเมริกา เฟิสต์ ผลพวงจากสิ่งนี้ นอกจากจะทำให้หลายประเทศเกิดความเอือมแล้ว ก็ยังเปิดโอกาสให้หลายประเทศที่ถูกแบ่งแยกและปกครองกลับมาจับมือกัน ขณะที่มหาอำนาจใหม่อย่างจีนก็สบช่องในการขยายอิทธิพลผ่านความร่วมมือในรูปแบบต่างๆกับทุกประเทศที่พร้อมจะเจรจาหารือ
การกระชับไมตรีของจีน ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อน ขอเพียงแค่อย่ามายุ่ง “กิจการภายใน” ของจีน จึงไม่แปลกที่ระยะหลังจะเกิดการตีตัวออกห่าง หลายประเทศดูกระตือรือร้นมากขึ้นที่จะคุยกับจีน และแสดงความประสงค์อยากเข้าร่วมกลุ่ม องค์การ ภาคีความร่วมมือต่างๆ ไม่ว่าบริกส์ BRICs หรือองค์กรความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ SCO
...
ในขณะที่สหรัฐฯกำลังผูกมิตรกับ “เกาหลีใต้-ฟิลิปปินส์” จีนก็มีการจับเข่าคุยกับ “รัสเซีย-อินเดีย” เช่นกัน สำหรับรัสเซียนั้น กำลังมีการวางแผนและเตรียมการสำหรับแลกเปลี่ยนขั้นต่อไปในระดับสูงจนถึงระดับประชาชน ทั้งด้านเศรษฐกิจการค้า วัฒนธรรม พร้อมเข้าใจความจำเป็นในการหาทางยุติความขัดแย้งยูเครน ส่วนการหารือกับอินเดีย มีการเห็นพ้องร่วมกันว่าจำเป็นต้องกระชับความร่วมมือในหลายด้าน และทำงานร่วมกันเพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนของกันและกัน
แน่นอนว่าความร่วมมือระหว่างประเทศ ต่างฝ่ายย่อมมีสิ่งที่ต้องการอยู่ในใจ เพียงแต่จะทำเช่นไรเพื่อให้ได้มา...ณ เพลานี้ ทุกฝ่ายกำลังเชิญชวนหว่านล้อมทั้งสิ้น คนหนึ่งเน้นคีย์เวิร์ด “การพัฒนา-กันและกัน” อีกคนเน้น “การรับมือภัยคุกคาม-เพื่อความมั่นคง”...ปัญหาคือมีฝ่ายหนึ่ง ที่ดูจะปิดโอกาสการเลือกทั้งสองทาง ทำให้ภาพปรากฏชัดมากขึ้น ว่าประเทศใดเลือกเดินไปทางไหน.
ตุ๊ ปากเกร็ด