วิกฤติการเงินรอบใหม่จาก ธนาคารล้ม ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศรํ่ารวยอย่าง สหรัฐฯ และ สวิตเซอร์แลนด์ สวรรค์ของนักเลี่ยงภาษี ได้สร้างความวิตกไปทั่วโลก วิกฤติจะหยุดอยู่แค่นี้หรือลามไปทั่วโลก โดยเฉพาะ ธนาคาร Credit Suisse ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับสองของสวิส ซึ่งเป็น ธนาคารที่บริหารความมั่งคั่งให้กับมหาเศรษฐีเลี่ยงภาษี และนักการเมืองทุจริตคอร์รัปชันจากทั่วโลก รวมทั้งจากประเทศไทยด้วย แม้ธนาคารกลางสวิส Swiss National Bank จะบังคับขาย ธนาคารเดรดิตสวิส ในราคาถูกแสนถูก โดยไม่ให้ผู้ถือหุ้นร่วมลงมติ และบังคับให้ ธนาคาร Union Bank of Switzerland (UBS) ต้องรับซื้อ แต่ผมเชื่อว่าปัญหาคงบานปลายไม่จบลงแค่นี้
วันนี้ ความเชื่อมั่นของระบบธนาคารในสวิส ต้องเรียกว่า พังยับเยิน
ธนาคารกลางสวิส และ FINMA หน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของสวิส ได้แหกทุกกฎของกฎหมายและการกำกับดูแลสถาบันการเงินของสวิส เพื่ออุ้มเครดิตสวิสไม่ให้ล้ม ไม่เพียงอัดฉีดเม็ดเงิน 50,000 ล้านฟรังก์สวิส ราว 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 1.86 ล้านล้านบาท เสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารเครดิตสวิสที่ถูกลูกค้าถอนเงินอย่างหนัก แต่ยังบังคับขายธนาคารเครดิตสวิสให้กับยูบีเอสในราคาถูกแสนถูกเพียง 3,250 ล้านดอลลาร์ จากราคาปิด ณ วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม มูลค่ากว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ ด้วยการแลกหุ้นในอัตรา 1 หุ้นยูบีเอส ต่อ 22.48 หุ้นเครดิตสวิส โดยไม่อนุญาตให้ผู้ถือหุ้นเครดิตสวิสออกเสียงเห็นชอบด้วย เป็นการหักดิบโดยธนาคารกลางสวิสและฟินมา
นอกจากนี้ รัฐบาลสวิส ธนาคารกลางสวิส ยังประกาศ จะรับผิดชอบความเสียหายให้กับ UBS 9,600 ล้านดอลลาร์ ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นในอนาคตจากการควบรวม และอัดฉีดสินเชื่อเสริมสภาพคล่องให้กับเครดิต สวิส และ UBS อีก 110,000 ล้านดอลลาร์ ราว 3.8 ล้านล้านบาท ถ้าควบรวมแล้วยังเอาไม่อยู่ คนแห่ถอนเงินมากกว่าที่คาด
...
แต่การแหกกฎของ ธนาคารกลางสวิส และ FINMA ที่ทำให้นักลงทุนอ้าปากหวอกันทั่วโลกก็คือ การประกาศ “เบี้ยวหนี้หุ้นกู้” 17,270 ล้านดอลลาร์ของเครดิตสวิส โดยให้เหตุผลว่า การไม่จ่ายเงินคืนให้กับหุ้นกู้จำนวน 17,270 ล้านดอลลาร์ ก็เพื่อให้นักลงทุนรับภาระของการช่วยเหลือครั้งนี้ไปบางส่วน
ทำให้ตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกหมดความเชื่อถือธนาคารสวิสลงไปอีก หุ้นแบงก์ที่ถือหุ้นกู้เครดิตสวิสในตลาดหุ้นฮ่องกงราคาร่วงกันระนาวตอนเปิดตลาดวันจันทร์
ธนาคารในสวิส แดนสวรรค์ของเศรษฐีนักเลี่ยงภาษีและนักการเมืองขี้โกง ได้ชื่อว่าเป็น ธนาคารพาณิชย์ที่ดีที่สุดในโลกมาช้านาน ได้รับความเชื่อมั่นจากมหาเศรษฐีทั่วโลกหอบเงินไปฝากธนาคารในสวิส หอบเงินไปให้ธนาคารสวิสลงทุน แต่ช่วงหลังการลงทุนให้กับลูกค้าก็ขาดทุนเป็นส่วนใหญ่ กองทุนที่เครดิตสวิสไปลงทุนก็เจ๊งไปแล้วสองกองทุน ไม่รู้วิเคราะห์กันยังไง แถมยังถูกหลายประเทศปรับในข้อหา ช่วยนักการเมืองคอร์รัปชัน และพ่อค้ายาเสพติดฟอกเงิน ธนาคารเดรดิตสวิสเองก็ขาดทุนหนักมา 2 ปีติดต่อกัน ทำให้ ซาอุดิ เนชันแนล แบงก์ ที่ถือหุ้นอยู่ 10% ประกาศไม่เพิ่มทุนอุ้มแบงก์เครดิตสวิสอีกต่อไป
การที่ รัฐบาลสวิส ธนาคารกลางสวิส ทุ่มเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ อุ้มแบงก์เครดิตสวิส เขาให้เหตุผลว่า “มันใหญ่เกินไปที่จะให้ล้มได้ too big to fail” ฟังแล้วเจ็บจี๊ดเข้าไปในหัวใจ
ท่านผู้อ่านยังจำได้ไหม “วิกฤติต้มยำกุ้ง 1997” พ.ศ.2540 แบงก์ไทยและบริษัทเงินทุนไทยกว่า 50 แห่ง ถูก IMF บีบบังคับให้ล้ม แล้ว เลห์แมน บราเธอร์ วานิชธนกิจยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ก็เข้ามาจัดการประมูลเอาทรัพย์สินของคนไทยไปเกือบหมด หลักทรัพย์ดีๆ ที่ดินราคาแพง ถูกกดราคาให้ขายเพียง 25% แต่พอธนาคารให้สหรัฐฯและสวิสเจ๊ง รัฐบาลสหรัฐฯและสวิสกลับทุ่มเงินหลายแสนล้านดอลลาร์เข้าไปอุ้ม โดยให้เหตุผลง่ายๆว่า มันใหญ่เกินกว่าที่จะปล่อยให้ล้ม เป็นบทเรียนที่กระทรวงการคลังและแบงก์ชาติไทยต้องจดจำ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”