วิกฤติ Silicon Valley Bank ล้ม ส่งผลกระทบหนัก ทำมูลค่าหุ้นของธนาคารในสหรัฐฯ หายวับไปกว่าแสนล้านดอลลาร์แล้ว ซ้ำร้าย ธนาคารซิกเนเจอร์ในนิวยอร์ก ยังล้มตามอีก


เมื่อ 14 มี.ค. 2566 สื่อต่างประเทศติดตามวิกฤติ ธนาคาร Silicon Valley Bank (ธนาคารซิลิคอน แวลลีย์) หรือ SVB ในสหรัฐฯ ล้ม ยังคงเป็น ‘ช็อกเวฟ’ ส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก หรือ ตลาดหุ้นวอลลสตรีทอย่างรุนแรง จนทำให้มูลค่าของธนาคารต่างๆ ในสหรัฐฯ หายวับไปแล้วกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.4 ล้านล้านบาท (คิดในอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 34 บาท)

มีรายงานว่าต้องมีการสั่งพักการซื้อขายหุ้นธนาคารในสหรัฐฯ กว่า 10 ธนาคารถึง 2 ครั้ง ในเช้าวันอังคารที่ 14 มี.ค. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่มูลค่าหุ้นของธนาคารในสหรัฐฯได้ร่วงลงไปถึง 75% ถึงแม้รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ให้การรับประกันว่าธนาคารในสหรัฐฯ ยังมีความปลอดภัย ด้วยการรับประกันกับผู้ฝากเงินของธนาคาร Silicon Valley Bank ว่าจะเข้าถึงเงินฝากของตนได้เร็วๆ นี้

...

ราคาหุ้นของธนาคาร First Republic Bank ได้ร่วงลงไปกว่า 60% จนก่อให้เกิดความหวั่นวิตกว่าจะเป็นธนาคารในสหรัฐฯที่ล้มเป็นรายต่อไป ในขณะที่ธนาคารใหญ่หลายแห่งในสหรัฐฯ ก็ยังคงได้รับผลกระทบจากกระแสความกลัวกรณีวิกฤติธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ ล้ม เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น โดยมูลค่าหุ้นของธนาคาร Well Fargo เมื่อ 14 มี.ค.2566 ได้ตกลงไป 7.5% ส่วน ธนาคาร Bank of America ตก 7.4%, Citigroup ตก 5.8% และหุ้นของธนาคาร JP Morgan ร่วง 2.7%

นอกจากนั้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม ที่ผานมา ตามเวลาท้องถิ่น หน่วยงานกำกับดูแลกิจการธนาคารสหรัฐฯ ได้ประกาศว่า ธนาคารซิกเนเจอร์ (Signature Bank) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครนิวยอร์กได้ล้มลงแล้ว ตามหลังธนาคาร Silicon Valley Bank หรือ SVB และกระบวนการยึดทรัพย์สินได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเช่นกัน โดยจากการที่ธนาคารซิกเนเจอร์ ซึ่งมีขนาดทรัพย์สินกว่า 110,000 ล้านดอลลาร์ล้ม จึงถือเป็นสถาบันการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ต้องปิดตัว

ที่มา : Metro