รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ออกมาเตือนถึงหายนะทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น หากสภาคองเกรสล้มเหลวในการขยายเพดานหนี้ หลังจากหนี้สินของสหรัฐฯ ถึงขีดจำกัดไปแล้วเมื่อวันพฤหัสบดี
เมื่อวันศุกร์ที่ 20 ม.ค. 2566 นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ออกโรงเตือนว่า อาจเกิดผลกระทบไปทั่วโลก หากรัฐบาลกลางใช้มาตรการพิเศษจนหมด และล้มเหลวในการขยายเพดานหนี้ หลังจากปริมาณหนี้สินของสหรัฐฯ ถึงขีดจำกัดที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
ตอนนี้ผลกระทบจากภาวะหนี้ชนเพดานของสหรัฐฯ ยังมีไม่มากนัก เนื่องจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ใช้มาตรการพิเศษเพื่อให้รัฐบาลยังสามารถใช้จ่ายต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม นางเยลเลน ระบุว่า วันที่มาตรการเหล่านี้ไม่อาจใช้ได้อีกต่อไปจะมาถึงอย่างเร็วที่สุดคือในช่วงต้นเดือนมิถุนายน
นางเยลเลน กล่าวอีกว่า หลังจากมาตรการพิเศษหมดลงแล้ว สหรัฐฯ อาจเผชิญการปรับลดความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ อันเป็นผลจากการที่สภาคองเกรสล้มเหลวในการขยายเพดานหนี้ ผลก็คือรัฐบาลกลางจะไม่สามารถชำระเงินได้ ซึ่งอาจขยายวงกว้างไปเป็นวิกฤติการเงินระดับโลก
“หากมันเกิดขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมของเราจะสูงขึ้น และชาวอเมริกันทุกคนจะได้เห็นต้นทุนการกู้ยืมของตัวเองเพิ่มขึ้นตามไปด้วย” นางเยลเลน กล่าว “ยิ่งกว่านั้น การล้มเหลวในการชำระเงิน ไม่ว่าจะให้แก่ผู้ถือพันธบัตร, ผู้รับประโยชน์ประกันสังคม หรือกองทัพ จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยอย่างไม่ต้องสงสัย และอาจก่อให้เกิดวิกฤติการเงินโลก”
“เรื่องนี้จะกระทบต่อบทบาทของเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองที่ใช้ในการทำธุรกรรมทั่วโลกอย่างแน่นอน และชาวอเมริกัน... คนจำนวนมากจะตกงาน ต้นทุนการกู้ยืมของพวกเขาจะสูงขึ้น”
...
ทั้งนี้ สมาชิกสภาเดโมแครตกับรีพับลิกันยังตกลงกันเรื่องขยายเพดานหนี้ไม่ได้ โดยกลุ่มรีพับลิกันสายแข็งต้องการให้การขยายเพดานหนี้ผูกโยงกับการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล ขณะที่ฝ่ายทำเนียบขาวตอบโต้ว่า พวกเขาจะไม่ยอมอ่อนข้อ หรือเจรจาในเรื่องการขยายเพดานหนี้ ทำให้เกิดความกังวลว่าจะเกิดภาวะชัตดาวน์เหมือนในปี 2554.
ที่มา : cnn