• ชาร์ลส์ โสภราช ฆาตกรต่อเนื่อง ผู้ก่อคดีฆาตกรรมไปทั่วเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ได้รับการปล่อยตัวจากคุกในเนปาลแล้ว หลังถูกคุมขังมานาน 19 ปี

  • โสภราช เติบโตมาท่ามกลางปัญหาในครอบครัว ถูกพ่อบังเกิดเกล้าทอดทิ้ง และปรับตัวเข้ากับครอบครัวใหม่ของแม่ไม่ได้ และเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอาชญากรรมตั้งแต่เด็ก

  • โสภราช พัวพันกับคดีอาชญากรรมมาตลอดชีวิต ทั้งปล้นชิง, ต้มตุ๋น, หลอกลวง และฆาตกรรมเหยื่อกว่า 20 ราย หลบหนีการจับกุมในไทยไปจนมุมที่อินเดีย และถูกจับอีกครั้งในเนปาล หลังถูกปล่อยตัวไม่กี่ปี

ชาร์ลส์ โสภราช ฆาตกรต่อเนื่องลูกครึ่งเวียดนาม-ฝรั่งเศส ที่ตำรวจระบุว่า เป็นผู้ก่อเหตุฆาตกรรมหลายคดีในช่วงทศวรรษที่ 1970-1980 ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำในประเทศเนปาลแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 ธ.ค. 2565) ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ และถูกส่งตัวกลับไปยังฝรั่งเศส

ชายคนนี้ถูกคนรู้จักบอกว่าเป็นทั้ง นักต้มตุ๋น, นักล่อลวง, โจร และฆาตกร เขาถูกสื่อไทยตั้งฉายาให้ว่า ‘นักฆ่าบิกินี’ เรื่องราวของเขาถูกเน็ตฟลิกซ์และบีบีซีนำไปทำเป็นซีรีส์ภาพยนตร์ภายใต้ชื่อว่า ‘The Serpent’ หรือ อสรพิษ จากความสามารถของเขาในการหลบหนีตำรวจ และใช้ตัวตนจอมปลอมมากมาย

โสภราช ปัจจุบันมีอายุ 78 ปีแล้ว เขาเป็นผู้ต้องสงสัยก่อเหตุฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกกว่า 20 คนทั่วเอเชีย โดยเฉพาะเหล่าแบ็กแพ็กเกอร์ผู้เดินทางตรงจากยุโรปสู่เอเชียด้วยเส้นทางสายฮิปปี้ ซึ่งเป็นที่นิยมมากในยุคนั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าจำนวนเหยื่อที่แท้จริงของเขานั้นคือเท่าไร

นอกจากการฆาตกรรม โสภราช ยังมีประวัติอาชญากรรมยาวเป็นหางว่าว ซึ่งจุดเริ่มต้นของเขานั้นอาจเป็นเพราะปมจากการถูกทอดทิ้งและละเลยในวัยเด็ก

...

ชาร์ลส์ โสภราช ถูกตำรวจอินเดียพาตัวไปสนามบินอินธิรา คานธี เพื่อส่งตัวกลับฝรั่งเศส เมื่อ 7 เม.ย. 1997
ชาร์ลส์ โสภราช ถูกตำรวจอินเดียพาตัวไปสนามบินอินธิรา คานธี เพื่อส่งตัวกลับฝรั่งเศส เมื่อ 7 เม.ย. 1997

จุดเริ่มต้นเส้นทางอาชญากรรม

โสภราช เกิดเมื่อวันที่ 6 เม.ย. 1944 ที่เมืองไซง่อน หรือปัจจุบันคือ นครโฮจิมินห์ ของเวียดนาม ซึ่งตอนนั้นยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส พ่อของเขาเป็นนักธุรกิจชาวอินเดีย แม่เป็นพนักงานร้านค้า แต่ทั้งคู่ไม่ได้แต่งงานกัน และพ่อของโสภราชก็ไม่เคยยอมรับว่าเขาเป็นลูก ทำให้เขากลายเป็นคนไร้สัญชาติ

ต่อมาแม่ของเขาแต่งงานกับทหารชาวฝรั่งเศสที่ประจำการอยู่ในเวียดนาม ก่อนจะย้ายไปอยู่ในฝรั่งเศสด้วยกัน แต่ว่าที่นั่นเขารู้สึกถูกละเลยจากครอบครัวที่สนใจเด็กที่เกิดมาหลังจากนั้น โสภราช เคยบอกกับหลายบทความว่า เขาเกลียดชังพ่อที่ทิ้งเขาไป และไม่สามารถปรับตัวเข้ากับครอบครัวใหม่ของแม่ได้

พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น โสภราช ก็เริ่มก่ออาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ และถูกจับครั้งแรกในข้อหาลักขโมยเมื่อปี 1963 แต่ตอนถูกคุมขังในเรือนจำปัวซีในกรุงปารีส เขายังไม่วายหว่านล้อมให้ผู้คุมมอบสิทธิพิเศษแก่เขา เช่น เก็บหนังสือในห้องขังได้ และได้ทำความรู้จักกับ เฟลิกซ์ เดสกอนเญ (Felix d'Escogne) ชายหนุ่มร่ำรวยผู้มาทำงานอาสาสมัครในเรือนจำ

หลังได้รับการปล่อยตัวออกมาด้วยการทำทัณฑ์บน โสภราช ก็ย้ายไปอยู่กับเดสกอนเญ และใช้ชีวิตในกลุ่มชนชั้นสูงสลับกับโลกใต้ดินของปารีส เขาเริ่มสะสมเงินทองจากการขโมยและต้มตุ๋น ระหว่างนี้โสภราชได้พบกับ ฌองตาล ฌองปานิญง (Chantal Compagnon) ลูกสาวจากครอบครัวอนุรักษนิยม และเริ่มคบหากัน

หนีออกจากฝรั่งเศสสู่เอเชีย

ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนโสภราชตัดสินใจขอฌองปานิญงแต่งงาน แต่เขากลับถูกจับในวันเดียวกันขณะพยายามหลบเลี่ยงตำรวจด้วยรถยนต์ที่ขโมยมา เขาถูกศาลตัดสินจำคุก 8 เดือน แต่ฌองปานิญงยังคงสนับสนุนเขาตลอด และทั้งคู่ก็แต่งงานกันหลังโสภราชได้รับการปล่อยตัว

ในปี 1970 โสภราชพาฌองปานิญงที่กำลังตั้งครรภ์ออกจากฝรั่งเศสไปยังทวีปเอเชียเพื่อหลบหนีการจับกุม ทั้งคู่เดินทางผ่านยุโรปตะวันออกด้วยหนังสือเดินทางปลอม ระหว่างทางก็ปล้นนักท่องเที่ยวที่พวกเขาเข้าไปตีสนิท ก่อนจะเดินทางมาถึงนครมุมไบในปีเดียวกัน ซึ่งฌองปานิญงคลอดลูกสาวชื่อว่า อูชา

โสภราช ใช้ชีวิตด้วยการก่ออาชญากรรมเรื่อยมา ทั้งขโมยรถและลักลอบขนสิ่งผิดกฎหมาย ได้กำไรมากมาย แต่เงินนั้นกลับถูกนำไปใช้กับการพนัน จนกระทั่งเขาถูกจับอีกครั้งในปี 1973 หลังพยายามใช้อาวุธปล้นพ่อค้าอัญมณีที่โรงแรมอโศก แต่ล้มเหลว ตอนแรกฌองปานิญงช่วยให้เขาหลบหนีไปได้ แต่ก็ถูกตามจับตัวอย่างรวดเร็ว เขาจึงต้องขอยืมเงินพ่อมาประกันตัว

ไม่นานหลังจากนั้นเขากับภรรยาก็หลบหนีไปยังกรุงคาบูล อัฟกานิสถาน เริ่มก่อเหตุปล้นนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่เดินทางมาเอเชียผ่านเส้นทางสายฮิปปี้ (hippie trail) และถูกจับกุมอีกครั้ง แต่โสภราชหนีไปได้ด้วยการแกล้งป่วยและวางยาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และข้ามประเทศไปอิหร่านโดยทิ้งครอบครัวไว้เบื้องหลัง ฌองปานิญงแม้จะยังรักโสภราช แต่เธอเบื่อหน่ายกับชีวิตอาชญากร จึงตัดสินใจกลับฝรั่งเศส และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่เจอกับโสภราชอีก

...

รวบรวมพรรคพวกก่ออาชญากรรม

โสภราช หลบหนีการจับกุมนานกว่า 2 ปี ใช้หนังสือเดินทางปลอมร่วม 10 ฉบับ เดินทางผ่านหลายประเทศในยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลาง ก่อนที่ อองเดร น้องชายต่างบิดาจะตามมาสมทบที่อิสตันบูล ประเทศตุรกี ทั้งคู่กลายเป็นหุ้นส่วนอาชญากร ก่ออาชญากรรมมากมายทั้งในตุรกีและกรีซ จนถูกจับในกรุงเอเธนส์ แต่โสภราชก็หลบหนีไปได้อีกครั้ง ทิ้งน้องชายไว้ให้ถูกส่งตัวไปตุรกี และรับโทษจำคุก 18 ปี

ระหว่างการหลบหนี โสภราชหาเงินด้วยการอุปโลกน์ตัวเองเป็นพ่อค้าอัญมณี หรือค้ายาเสพติด เพื่อสร้างความประทับใจและตีสนิทนักท่องเที่ยวเพื่อทำการต้มตุ๋น เขาเดินทางมาจนถึงอินเดียอีกครั้ง และได้พบกับ มารี-อองดรี เลอแคลร์ นักท่องเที่ยวหญิงผู้มาจากเมืองลีไวส์ รัฐควิเบก ประเทศแคนาดา เพื่อตามหาการผจญภัย

เลอแคลร์ถูกอิทธิพลของโสภราชครอบงำจนเธอกลายเป็นผู้ติดตามที่ภักดีที่สุดของเขา จากนั้นโสภราชก็เริ่มรวบรวมพรรคพวก ด้วยการจัดฉากสร้างบุญคุญเพื่อให้เกิดความภักดี เช่น ทำทีเป็นช่วยนักท่องเที่ยวหาหนังสือเดินทางที่เขาเป็นผู้ขโมยไปเองจนพบ หรือให้ที่อยู่ผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายโรคบิด แต่จริงๆ แล้วถูกโสภราชวางยา และได้เด็กหนุ่มชาวอินเดียชื่อ อาเจย์ ชอว์ดูรี มาเป็นมือขวา

ได้ฉายานักฆ่าบิกินี

เท่าที่มีการสืบพบ โสภราชกับอาเจย์ ก่อเหตุฆาตกรรมครั้งแรกในปี 1975 หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาประเทศไทย โดยเหยื่อส่วนใหญ่ใช้เวลากับทั้งคู่ ถูกชักชวนให้ร่วมก่ออาชญากรรมด้วยกัน ก่อนจะถูกพบเป็นศพ โสภราชพยายามอ้างว่าเหตุฆาตกรรมของเขาเกือบทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุจากการเสพยาเกินขนาด แต่เจ้าหน้าที่สืบสวนระบุว่า ผู้ตายขู่จะเปิดโปงความผิดของเขา ทำให้เขาลงมือสังหาร

เหยื่อรายแรกของโสภราชเป็นนักท่องเที่ยวหญิงจากเมืองซีแอตเติล ถูกพบศพในเดือนตุลาคม 1975 ที่หาดพัทยา สภาพศพสวมแต่ชุดบิกินี เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ผลการชันสูตรในอีกหลายเดือนต่อมาชี้ว่าเธอถูกฆาตกรรม เหยื่อรายต่อมาเป็นชายชาวตุรกีชื่อ วิตาลี ฮาคิม ถูกพบบนถนนก่อนถึงรีสอร์ตแห่งหนึ่งในพัทยา ที่นายโสภราชกับอาเจย์พักอยู่ สภาพศพถูกเผาทั้งตัว

ต่อมาโสภราชเชิญ เฮงค์ บินตันจา นักศึกษาหนุ่มชาวดัตช์วัย 29 ปีกับคู่หมั้นสาว คุ้กกี้ เฮมเคอร์ อายุ 25 ปี ให้มาประเทศไทย หลังพวกเขาเจอกันที่ฮ่องกง และโสภราชก็ใช้แผนเดิม วางยาและช่วยดูแลทั้งคู่เพื่อหวังสร้างบุญคุณ แต่โดยไม่คาดคิด จู่ๆ ชาร์เมย์น การ์รู แฟนสาวชาวฝรั่งเศสของฮาคิมก็มาหาเขาเพื่อตามหาแฟนที่หายตัวไป

ด้วยความกังวลว่าจะถูกเปิดเผย โสภราชจึงสังหารและเผาศพของบินตันจาและเฮมเคอร์ ศพของทั้งคู่ถูกพบในวันที่ 16 ธ.ค. 1975 ไม่นานหลังจากนั้นศพของ ชาร์เมย์น การ์รู ก็ถูกพบในสภาพสวมชุดบิกินีคล้ายกับเหยื่อรายแรกของเขา ซึ่งในตอนนั้นทั้ง 2 คดียังไม่ถูกจับมาเชื่อมโยงกัน และทำให้เขาได้รับสมญา ‘นักฆ่าบิกินี’ ในเวลาต่อมา

...

ตามล่าตัวฆาตกร

โสภราชกับเลอแคลร์หลบหนีออกจากประเทศไทยไปเนปาลในวันที่ 18 ธ.ค. โดยใช้หนังสือเดินทางของบินตันจาและเฮมเคอร์ หลังจากนั้นไม่กี่วันทั้งคู่กก็ก่อเหตุฆาตกรรมเหยื่ออีก 2 รายคือ โลรองต์ การ์ริเย ชาวแคนาดาวัย 26 ปี และ คอนนี โจ บรอนซิช ชาวอเมริกันวัย 29 ปี และเดินทางกลับไปประเทศไทยโดยใช้พาสปอร์ตของเหยื่อรายล่าสุด ก่อนที่ศพของทั้งคู่จะถูกพบ

แต่เมื่อมาถึงประเทศไทย โสภราชกลับพบว่าคนรู้จักของเขาเริ่มระแคะระคายว่าเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง และแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ไทยก่อนหนีไปปารีส ทำให้โสภราชต้องออกจากไทยอีกครั้งไปยังอินเดีย ที่ซึ่งเขาฆาตกรรมนักวิชาการชาวอิสราเอลแล้วชิงหนังสือเดินทางมาใช้งาน และไปหลายประเทศร่วมกับอาเจย์และเลอแคลร์

ทั้ง 3 คนกลับมาไทยในเดือนมีนาคม 1976 แม้จะรู้ว่าตำรวจตามล่าตัวอยู่ พวกเขาถูกเจ้าหน้าที่สอบปากคำฐานต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม แต่ก็ได้รับการปล่อยตัวไป

อย่างไรก็ตาม เฮอร์แมน คนิปเปนเบิร์ก นักการทูตตรี สถานทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ทำงานร่วมกับ พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย อดีต ผบก.กองการต่างประเทศ ผู้ตั้งทีมสืบสวนสอบสวนแกะรอยหาฆาตกรผู้สังหารชาวต่างชาติในไทยนับสิบราย จนได้หลักฐานชี้ตัวว่าคือนายโสภราช แม้จะน่าเสียดายที่คนร้ายออกนอกประเทศไปแล้ว แต่การสืบสวนของพวกเขาก็นำไปสู่การออก ‘หมายจับแดง’ ของตำรวจสากลตามล่าตัวนายโสภราชไปทั่วโลก

นิฮิตา บิสวาส หญิงชาวเนปาลผู้อ้างว่าได้จัดพิธีแต่งงานกับโสภราชในคุก แต่ทางการเนปาลปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง
นิฮิตา บิสวาส หญิงชาวเนปาลผู้อ้างว่าได้จัดพิธีแต่งงานกับโสภราชในคุก แต่ทางการเนปาลปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง

...

แผนผิดพลาด จนมุมที่อินเดีย

หลังออกจากประเทศไทย โสภราชยังไปก่อคดีขโมยอัญมณีที่มาเลเซีย ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่มีผู้พบเห็นอาเจย์ ทำให้เกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานาว่า โสภราชอาจสังหารอาเจย์ก่อนออกจากมาเลเซีย เพื่อที่เขากับเลอแคลร์จะได้สวมบทบาทเป็นผู้ค้าอัญมณีที่นครเจนีวา

โสภราช กลับมาเอเชียอีกครั้ง และตั้งแก๊งอาชญากรรมของเขาขึ้นมาใหม่ เริ่มจากหญิงชาวตะวันตก 2 คนชื่อ บาร์บารา สมิธ และ แมรี เอลเลน เอเธอร์ ที่เมืองบอมเบย์ พวกเขาก่อเหตุปล้นชายชาวฝรั่งเศส ฌอง-ลุค โซโลมง โดยวางยาเพื่อให้ขยับตัวไม่ได้ แต่ยาแรงเกินไปจนเขาเสียชีวิต

จากนั้นในเดือนกรกฎาคม 1976 ที่กรุงนิวเดลี โสภราชกับพวกหลอกกลุ่มทัวร์นักศึกษาชาวฝรั่งเศสกลุ่มหนึ่ง จนพวกเขาได้ร่วมเดินทางไปด้วยในฐานะไกด์นำเที่ยว ระหว่างทางโสภราชวางยานักศึกษากลุ่มนี้ โดยให้ทานยาเม็ดที่เขาอ้างว่าเป็นยาป้องกันโรคบิด แต่ยากลับออกฤทธิ์เร็วกว่าที่คิด ทำให้นักศึกษารู้ตัวและร่วมกับจับตัวโสภราชกับหญิงทั้ง 3 คนส่งตำรวจ

ระหว่างการสอบสวนของตำรวจอินเดีย สมิธกับเอเธอร์ยอมรับสารภาพความผิด ทำให้โสภราชถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมนายโซโลมง และทั้งหมดถูกส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำตีฮาร์ในนิวเดลี

ใช้ชีวิตในคุกอย่างราชา

สมิธกับเอเธอร์พยายามจบชีวิตตัวเองระหว่างถูกคุมขัง แต่โสภราชเข้าคุกไปพร้อมกับอัญมณีที่ซ่อนไว้ ติดสินบนเจ้าหน้าที่ ทำให้ได้ใช้ชีวิตในคุกอย่างสุขสบาย เขายังทำให้การไต่สวนของเขากลายเป็นจุดสนใจด้วยการเปลี่ยนทนายเป็นว่าเล่น ดึงตัวอองเดร น้องชายที่เพิ่งทำทัณฑ์บนออกมาเป็นผู้ช่วย และถึงขั้นอดอาหารประท้วง ในท้ายที่สุดเขาก็ถูกศาลตัดสินจำคุก 12 ปี

ด้านเลอแคลร์ถูกพบว่ามีความผิดข้อหาวางยากลุ่มนักศึกษาชาวฝรั่งเศส แต่ทำทัณฑ์บนออกจากคุกแล้วกลับไปอยู่บ้านที่แคนาดา เธอยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองและภักดีต่อโสภราชจนถึงที่สุด กระทั่งเธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งรังไข่ในเดือนเมษายน 1987 ขณะมีอายุ 38 ปี

ฝ่ายโสภราชเขายังติดสินบนเจ้าหน้าที่อย่างหนัก จนได้ใช้ชีวิตหรูหราในคุก มีโทรทัศน์ดู และทานอาหารคนละระดับกับนักโทษคนอื่นๆ ตีสนิทกับนักโทษและผู้คุมเรือนจำมากมาย โสภราชได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารหลายเจ้า และเปิดเผยเรื่องราวการฆาตกรรมของเขาอย่างละเอียด แต่ต่อมาเขาก็กลับลำอ้างว่าไม่เคยพูด และว่าการกระทำของเขาเป็นการแก้แค้นต่อจักรวรรดินิยมของชาติตะวันตกในเอเชีย

พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย อดีต ผบก.กองการต่างประเทศ
พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย อดีต ผบก.กองการต่างประเทศ

ไทยขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไม่สำเร็จ

ทางการไทยพยายามขอให้อินเดียส่งตัวนายโสภราชกลับมารับโทษที่ไทย แต่ทางการอินเดียไม่ยอม อย่างไรก็ตามโทษของโสภราชจะสิ้นสุดลงก่อนที่อายุความคดีฆาตกรรมในไทยซึ่งอยู่ที่ 20 ปีจะหมดลง ซึ่งหากถูกส่งตัวมาจะมีความเป็นไปได้อย่างมากที่เขาจะได้รับโทษประหารชีวิต

เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกส่งตัว โสภราชจึงจัดงานเลี้ยงใหญ่ในเรือนจำให้แก่เหล่าผู้คุมกับนักโทษที่เป็นพวกเดียวกับเขาในเดือนมีนาคม 1986 ซึ่งเป็นปีที่ 10 ที่เขาถูกคุมขัง และแอบวางใส่ยานอนหลับในอาหาร ก่อนเดินออกจากคุกไปโดยไม่มีใครขัดขวาง แม้ว่าจะถูกตามจับกุมตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่การแหกคุกทำให้โทษของเขาเพิ่มขึ้นอีก 10 ปีตามที่หวัง เมื่อโสภราชในวัย 52 ปีออกจากเรือนจำในวันที่ 17 ก.พ. 1997 อายุความในไทยก็หมดลงแล้ว อินเดียจึงส่งตัวเขากลับฝรั่งเศส

ถูกจับกุมอีกครั้งที่เนปาล

หลังกลับฝรั่งเศส โสภราชใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่ชานกรุงปารีส หาเงินจากการให้สัมภาษณ์กับสื่อและขายลิขสิทธิ์การสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตของเขาในราคามากกว่า 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่จู่ๆ ในปี 2003 โสภราชเดินทางไปเนปาลอีกครั้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังคงตามล่าตัวและสามารถจับเขาได้ เพื่อไปเริ่มธุรกิจน้ำแร่ในกรุงกาฐมาณฑุ

และแล้ววันแห่งโชคชะตาก็มาถึง 1 ก.ย. 2003 โสภราชถูกพบเห็นโดยนักข่าว โจเซฟ นาธาน หนึ่งในผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์หิมาลายัน ไทม์ส เขาติดตามดูนายโสภราชนาน 2 สัปดาห์ ก่อนแจ้งตำรวจจับกุมฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ขณะกำลังเล่นพนันในกาสิโน ตำรวจรื้อคดีฆาตกรรมเมื่อปี 1975 กลับมาอย่างรวดเร็ว และในวันที่ 20 ส.ค. 2004 โสภราชก็ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ข้อหาฆาตกรรม น.ส. คอนนี โจ บรอนซิช

หลักฐานส่วนใหญ่ในคดีถูกรวบรวมมาโดยนักการทูต คนิปเปนเบิร์ก กับภรรยาของเขาในขณะนั้น และตำรวจสากล โสภราชพยายามยื่นอุทธรณ์หลายครั้งด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ทั้งต่อศาลเนปาล และต่อนิโคลาส์ ซาโกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศสในตอนนั้น แต่ไม่เป็นผล และการต่อสู้ในชั้นศาลก็สิ้นสุดลงในปี 2010 หลังศาลสูงสุดของเนปาลก็มีคำพิพากษายืนให้จำคุกตลอดชีวิต

โสภราช ยังถูกตัดสินจำคุกเพิ่มอีก 20 ปี ในเดือนกันยายน 2014 จากคดีฆาตกรรม โลรองต์ การ์ริเย แต่ในปี 2018 เขาล้มป่วยด้วยอาการวิกฤติ และต้องรับการผ่าตัดหัวใจหลายครั้ง ปัญหาสุขภาพของเขาทำให้ศาลสูงสุดของเนปาลออกคำสั่งในวันที่ 21 ธ.ค. 2022 ที่ผ่านมา ให้ปล่อยตัวเขา พร้อมส่งตัวกลับฝรั่งเศส และห้ามกลับมาเนปาลเป็นเวลา 10 ปี.






ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : aljazeeraindianexpresswikipedia