วันเสาร์สบายๆวันนี้ผมชวนท่านผู้อ่านไป “เที่ยวยุโรป” กันนะครับ เดือนธันวาคมยุโรปเข้าสู่ฤดูหนาวเต็มตัวแล้ว เป็นฤดูท่องเที่ยวสำหรับคนที่ชอบหนาวและหิมะ อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ วันคริสต์มาส กันแล้ว ขณะเดียวกัน โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ก็กลับมาระบาดอีกครั้ง โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัย ใครไปเที่ยวฝรั่งเศสช่วงนี้มักมีของแถมติดโควิดกลับมาเมืองไทย ฝรั่งเศสกำลังปรับปรุงเมืองหลวง กรุงปารีส ทั้งเมือง ให้เป็นเมืองปล่อยคาร์บอนตํ่า รับการเป็น เจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกในอีก 2 ปีข้างหน้า ใครไปเที่ยวปารีสช่วงนี้จึงเห็นการก่อสร้างตามถนนเต็มไปหมด

เดือนที่แล้วผมเพิ่งไป กรุงปารีส และ เมืองสตราสบูร์ก เมืองหลวงของแคว้นอัลซาสที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่สวยงามที่สุดเมืองหนึ่งในฝรั่งเศส และเป็นที่ตั้งของ รัฐสภาสหภาพยุโรป

ไกด์ท้องถิ่นที่เป็นคนไทยอยู่ในกรุงปารีสมาหลายสิบปีเล่าว่า ปารีสกำลังปรับปรุงเมืองครั้งใหญ่ เพื่อทำให้พื้นที่ราว 10 ตารางกิโลเมตรใจกลางกรุงปารีสให้เป็นเมืองน่าอยู่ เมืองที่ปล่อยคาร์บอนตํ่า ห้ามรถบรรทุกและรถทัวร์เข้า ถนนในกรุงปารีสถูกปรับขนาดให้เล็กลง 4 เลนก็เหลือ 2 เลน 2 เลนก็เหลือเลนเดียว โดยเอาพื้นที่ถนนไปเพิ่มเป็น ทางรถจักรยาน ทางคนเดิน พื้นที่ปลูกต้นไม้ การเดินทางของชาวปารีสส่วนใหญ่จะใช้รถไฟใต้ดิน นักท่องเที่ยวสูงวัยอย่างเราได้ยินแล้วก็ต้องคิด อีก 2 ปี กรุงปารีสคงไม่น่าเที่ยวสำหรับคนสูงวัยอีกแล้ว เพราะ เป็นเมืองที่ไม่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย แต่ฝรั่งเศสก็ไม่แคร์นักท่องเที่ยว เขายึดคุณภาพชีวิตของชาวฝรั่งเศสเป็นหลักไม่เหมือนเมืองไทย

...

ฟังไกด์เล่าแล้วผมก็ได้พบกับ ประสบการณ์จริง ที่ เมืองสตราสบูร์ก

ผมนั่งรถไฟ TGV จาก สถานีรถไฟ Paris Est สถานีรถไฟทิศตะวันออกของกรุงปารีส เมืองหลวงทั่วโลกเขากระจายสถานีรถไฟไปอยู่รอบเมืองหลวงหลายสถานี เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนในการเดินทางและลดความแออัด ไม่ใช่เอาสถานีรถไฟมากระจุกอยู่กลางเมืองให้เป็นสถานีกลางเหมือนประเทศด้อยพัฒนา เช่น สถานีกลางบางซื่อ ทำให้ประชาชนเดินทางไม่สะดวก เดินทางไกลและหลายต่อ เสียเงินมากและเสียเวลา

ระยะทางจาก กรุงปารีส-สตราสบูร์ก ราว 500 กม.เศษ ใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมง 46 นาที รถไฟฝรั่งเศสมีความเร็วสูงสุด 300 กม./ชั่วโมง เวลาเข้าออกสถานีก็ตรงเวลาเป๊ะมาก ไม่เหมือนรถไฟไทยที่ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง เมื่อไปถึง เมืองสตราสบูร์ก ก็ต้องนั่งรถทัวร์คันใหญ่เข้าเมือง แต่รถทัวร์เข้าไปกลางเมืองไม่ได้ เมืองสตราสบูร์กห้ามรถยนต์คันใหญ่เข้าเมือง ให้ส่งผู้โดยสารได้แค่ถนนที่มีแม่นํ้าอีลคั่นไว้ คณะเราจึงต้องลงจากรถเดินเป็นระยะทางเกือบ 2 กม. เพื่อไปยังโรงแรม จะไปขึ้นรถก็ต้องเดินจากโรงแรมข้ามแม่นํ้าอีลไปขึ้นรถเกือบ 2 กม. เวลาไปรับประทานอาหารในเมืองก็ต้องเดินไปเดินกลับ

ช่วงกลางวันอุณหภูมิ 10 กว่าองศาเย็นสบาย แต่พอทานข้าวเสร็จเดินกลับโรงแรมในตอนคํ่า อุณหภูมิลดลงมาเหลือ 5-6 องศา หนาวยะเยือกเลยทีเดียว บางช่วงมีลมพัดมายิ่งหนาวเหน็บ ที่จริงอุณหภูมิต้นเดือนพฤศจิกายน ปกติจะไม่หนาวมากอยู่ที่ 10 กว่าองศา แต่ปีนี้อากาศหนาวผิดปกติ กลางวันกลางคืนห่างกันเกือบสิบองศา และห้ามเปิดฮีตเตอร์ทำความร้อนในห้องอีกด้วย เพื่อประหยัดพลังงาน

เขียนถึงอากาศหนาวในยุโรปช่วงนี้แล้ว ผมก็คิดถึง ชาวยูเครน หลายสิบล้านคนที่กำลังเผชิญกับหนาวเหน็บอุณหภูมิที่ติดลบท่ามกลางพายุหิมะ กรุงเคียฟ เมืองหลวงยูเครนวันพฤหัสบดี อุณหภูมิ -4 องศา นายกเทศมนตรีกรุงเคียฟบอกว่า ประชากร 70% ของเมืองหลวงยูเครนต้องอยู่โดยปราศจากไฟฟ้าใช้ ต้องขอร้องให้พลเมืองพิจารณาเดินทางออกนอกประเทศในฤดูหนาวนี้เพื่อลดการใช้พลังงาน ลำบากสาหัสกันขนาดนั้นไม่รู้ผู้นำยูเครนจะทำสงครามต่อไปทำไม

ในอนาคตเมืองยุโรปส่วนใหญ่จะปรับให้เหมือน สตราสบูร์ก อีกสองปี กรุงปารีส ก็เป็นแบบเดียวกัน การไปฝรั่งเศสครั้งนี้ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “ยุโรปชักไม่น่าเที่ยว” สำหรับผู้สูงวัยอย่างเราเสียแล้ว ไปเที่ยวญี่ปุ่นสนุกและปลอดภัยกว่าเยอะ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”