ขออนุญาตรับใช้ต่อจากฉบับวันจันทร์เมื่อวานครับ สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้คนตายไปประมาณ 60 ล้าน เนื่องจากสมรภูมิรบเกิดขึ้นในยุโรปและเอเชีย จึงทำให้โรงงานและการผลิตในยุโรปและเอเชียพัง พื้นที่สหรัฐฯไม่ได้รับความเสียหาย เงินจึงไหลเข้าสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯกลายเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในโลกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

มีเงินเยอะ คนอเมริกันก็รู้สึกมีความมั่นคง ต่างสร้างครอบครัวและมีลูก รัฐบาลได้เงินมาก็นำไปสร้างถนนไปตามชานเมืองและที่ห่างไกล เกิดหมู่บ้านจัดสรรที่เรียกว่าเลวิตต์ทาวน์ ตามชื่อของวิลเลียม เจ. เลวิตต์ ผู้วางผังชุมชนชานเมืองอย่างเป็นระบบ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คนอเมริกันรู้สึกว่าตนเองได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่า American Dream หรือความฝันแบบอเมริกัน

ผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือคนชั้นกลางอเมริกันผิวขาว ใน ค.ศ.1945-1946 เพียงปีเดียว สำนักงานการเคหะรัฐบาลกลางสหรัฐฯต้องค้ำประกันการจำนองให้กับประชาชนที่ยังไม่มีบ้านมากกว่า 1 ล้านหลัง และเพิ่มขึ้นเกือบ 2 ล้านหลังใน ค.ศ.1950 เพิ่มขึ้นอีกปีละมากกว่า 1 ล้านหลังจนถึง ค.ศ.1970

ทันทีที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง เงินไหลเข้าประเทศมาถึงขนาด Highway Act of 1956 (รัฐบัญญัติถนนไฮเวย์) กำหนดเงินงบประมาณสำหรับสร้างถนนมากถึง 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้สามารถสร้างไฮเวย์เชื่อมส่วนต่างๆ ของประเทศเข้าด้วยกันยาวถึง 6.4 หมื่นกิโลเมตร เมื่อโรงงานผลิตรถยนต์ในยุโรปพังจากสงคราม โรงงานหลายแห่งในสหรัฐฯก็ต้องแปลงตัวเองเป็นโรงงานผลิตรถยนต์รุ่นต่างๆ ใน ค.ศ.1945 โรงงานสหรัฐฯผลิตรถยนต์มากถึง 26 ล้านคัน และใน ค.ศ.1970 ผลิตมากถึง 89 ล้านคัน

จบสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน ค.ศ.1945 คนอเมริกันทั้งประเทศมีโทรทัศน์ไม่ถึง 1.7 หมื่นเครื่อง อีก 4 ปีต่อมา คนอเมริกันมีเงินมากขนาดไปซื้อโทรทัศน์มากถึงเดือนละ 2.5 แสนเครื่อง ความมั่งคั่ง มั่นคงทางเศรษฐกิจทำให้คนมีลูก รายการโทรทัศน์สำหรับเด็กก็เกิดขึ้นอย่างบูมตูมตาม ส่วนมากเป็นรายการแสดงของหุ่นกระบอกและตัวการ์ตูน เช่น รายการ Howdy Doody Show และ Mickey Mouse Club ธุรกิจโฆษณาทางโทรทัศน์บูมตามมา ขณะที่คนยุโรปและเอเชียที่บ้านเมืองพังพินาศเพราะการรบกันในสงครามโลกครั้งที่ 2 และอยู่ในการฟื้นฟูประเทศ ผู้คนอดอยาก
ไม่มีที่อยู่อาศัย แต่คนอเมริกันกลับมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข

...

คณะยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯกำหนดให้สหรัฐฯ มี 2 ยุทธศาสตร์หลัก ยุทธศาสตร์แรกคือออกไปสร้างสงครามความขัดแย้งเพื่อขายอาวุธยุทโธปกรณ์และยับยั้งการเจริญเติบโตของภูมิภาคอื่น อีกยุทธศาสตร์หนึ่ง คือการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้สหรัฐฯ เช่นการให้วัยรุ่นไปสมัครเป็นอาสาสมัครในหน่วยสันติภาพ ออกไปช่วยเหลือพัฒนาประเทศต่างๆ คนไทยสมัยก่อนก็อาจจะชินกับคำว่า Peace Corps หรือหน่วยสันติภาพอเมริกัน

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คนอเมริกันมีบุตรกันเยอะมาก ถึงขนาดมีการบอกว่า ค.ศ.1946-1964 เป็นสมัยเบบี้บูม คนที่เกิดในช่วงนั้น ปัจจุบันมีอายุประมาณ 58-76 ปี ก็กำลังเข้าสู่ความเป็นผู้สูงวัย หลังจากยุคเบบี้บูม สหรัฐฯเข้าสู่ยุค Flower Children หรือยุคบุปผาชนและฮิปปี้ คนอเมริกันที่เกิดหลัง ค.ศ.1964 เริ่มมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม บางครั้งเรียกร้องเสรีภาพเกินขอบเขต มีการเสพยาเสพติด มีการใช้ชีวิตทางเพศอย่างเสรี มีการประท้วงเกิดขึ้นอย่างมาก ยุคนี้เรียกว่า Counterculture เป็นยุคต่อต้านวัฒนธรรม คนไม่ยึดมั่นในสถาบันครอบครัว มีคนเกิดขึ้นน้อยลง

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2 คนล่าสุด คือทรัมป์ เกิดในปีที่เริ่มยุคเบบี้บูม คือ ค.ศ.1946 (อายุ 76 ปี) และไบเดน เกิดก่อนยุคเบบี้บูม คือ ค.ศ.1942 (อายุ 80 ปี) ทั้งสองคนมีชีวิตในยุคทองของสหรัฐฯ ทรัมป์บอกว่า ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ ไบเดนบอกว่า ต้องไปสร้างความขัดแย้งนอกบ้าน เพื่อสหรัฐฯจะได้กลับมาเฟื่องฟูเหมือนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สมรภูมิอยู่ในยุโรปและเอเชีย

สุดท้ายยุทธศาสตร์ที่จะสร้างความมั่งคั่งของสหรัฐฯก็ยังเหมือนเดิม คือไปสร้างความขัดแย้งนอกประเทศ เพื่อให้ที่อื่นพังหมด เหลือเพียง ‘กู’ ประเทศเดียว.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com