เปิดฟ้าส่องโลกของพุธวันนี้ ผมเขียนต่อจากฉบับเมื่อวาน เมื่อวานผมเขียนถึงยุคที่เยลต์ซินเป็นประธานาธิบดีรัสเซียและนายไกดาร์เป็นรองฯ แกปล่อยราคาสินค้าลอยตัวเพื่อล้างระบบเศรษฐกิจแบบเก่าที่วางแผนจากส่วนกลางตามคำแนะนำของสหรัฐฯและยุโรปตะวันตก ผลก็คือราคาสินค้าสูงขึ้นเป็นพันเปอร์เซ็นต์ ประชาชนอดอยากหิวโหย ช่วงนั้นคือ ค.ศ.1992 ซึ่งพ่อผมใช้ชีวิตอยู่ในกรุงมอสโก และอีกคนหนึ่งซึ่งลาออกจากการเป็นสายลับเคจีบีที่เยอรมนีกลับมาอยู่ที่รัสเซียคือปูติน ซึ่งก็ลำบากยากเข็ญถึงขนาดท่านเล่าเองว่า ต้องขับแท็กซี่หาเงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัว

การปฏิรูปของเยลต์ซินทำให้เงินรูเบิลตกแรงมาก สมัยก่อน 1 ดอลลาร์แลกเงินรัสเซียได้ 1 รูเบิล ปลาย ค.ศ.1992 เงิน 1 ดอลลาร์แลกเงินรัสเซียได้ 450 รูเบิล พอถึงปลาย ค.ศ.1993 เงิน 1 ดอลลาร์แลกได้ 1,250 รูเบิล แต่ถ้าไปแลกในตลาดมืดก็จะได้เงินรูเบิลมากกว่านี้

เดินไปในกรุงมอสโก ค.ศ.1992-1994 เจอแต่ขอทาน คนไร้บ้าน พวกขี้เหล้าเมายา โสเภณีมีมากมาย ไม่มีสภาพของความเป็นประเทศอภิพญามหาอำนาจหลงเหลืออยู่เลย สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทำให้การเมืองทะเลาะเบาะแว้งกันไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายบริหารกับฝ่ายรัฐสภา เมื่อทะเลาะกันแรงถึงเยลต์ซินก็ตัดน้ำไฟ เครื่องทำความร้อน ระบบโทรศัพท์ในอาคารรัฐสภา ความหนาวทำให้สมาชิกรัฐสภากว่า 100 คนออกมา ทว่าอีก 300 กว่าคนยังคงอยู่ในอาคาร

ความเชื่อสหรัฐฯและยุโรปของเยลต์ซินทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะความขัดแย้งรุนแรง แม้แต่ในกรุงมอสโกเองก็มีการสู้กันระหว่างพวกที่หนุนรัฐบาลกับพวกที่หนุนรัฐสภา ยังจำได้ว่าฝ่ายรัฐสภาคือรุสกอยและนายพลมาคาซอฟนำคนเป็นพันจากรัฐสภาไปทำลายศาลาว่าการกรุงมอสโก ยึดสถานีโทรทัศน์ เยลต์ซินใช้รถถังยิงใส่ตึกรัฐสภา ผมอ่านจากบันทึกประจำวันของพ่อ จึงทราบว่าระหว่างที่รถถังยิงใส่ตึกรัฐสภา พ่อผมออกไปดูการต่อสู้กันกับเขาด้วย

...

ความอดอยากหิวโหยทำให้คนรัสเซียทำได้ทุกอย่าง ฆ่ากันกลางกรุงก็เอา ยิงรถถังใส่กันก็เอา พวกอยู่ในรัฐสภาตายประมาณ 200 กว่าศพ บาดเจ็บอีกบานตะไทไม่ต่ำกว่า 700-800 คน คนที่หนุนรัฐสภาเห็นตำรวจทหารที่ไหนก็ปรี่เข้าไปฆ่า ทำให้ตำรวจทหารตายหลายสิบคน

หลังจากฆ่าแกงกันกลางกรุงจนล้มตายกลายเป็นผีไปบานเบอะเยอะแยะ สถานการณ์การเมืองในเดือนธันวาคม 1993 ยังสร้างความขัดแย้งขนาดใหญ่ ประชาชนคนทั่วไปสนับสนุนรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีมากขึ้น การลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญทำกันในวันที่ 12 แต่การเลือกตั้งทั่วไปมีในวันที่ 15 ธันวาคม

ผลของการเลือกตั้ง พรรคที่สนับสนุนประธานาธิบดีกลับแพ้ ได้ ส.ส.เพียง 70 คน ส่วนพรรคตรงข้ามคือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหพันธรัฐรัสเซียของนายซูกานอฟได้ตั้ง 103 คน พรรคเสรีประชาธิปไตยของนายซิรีนอฟสกีได้ ส.ส. 64 คน พวก ส.ส.ส่วนใหญ่เป็นพวกหัวเก่าที่สืบอำนาจมาจากโซเวียตทั้งนั้น แต่โชคดีที่ 2 วันก่อนหน้านั้น ผลการลงประชามติให้อำนาจประธานาธิบดีตั้งนายกรัฐมนตรี ดำเนินนโยบายต่างประเทศ ออกกฎหมายได้ตามที่ตัวเองต้องการ แถมยังมีอำนาจยุบสภาได้อีก การที่ประชาชนเลือกผู้บริหารกับสมาชิกรัฐสภาจากคนละพวก โดยมุ่งหวังตั้งใจจะให้คานอำนาจกัน พวกนี้กลับเข้าไปตีกันจนไม่มีเวลามาบริหารบ้านเมือง

รัฐบาลของนายเยลต์ซินแต่ละวันก็เอาแต่แบมือ เอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ในสมัยนั้นประธานาธิบดีสหรัฐฯคือนายคลินตัน ก็เมตตากรุณาโยนเงินช่วยเหลือมาให้รัสเซีย 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ไม่ได้ให้เป็นเงินนะ สหรัฐฯให้เป็นโครงการต่างๆ ซึ่งแต่ละโครงการก็คือการคุมกำเนิดการเจริญเติบโต สร้างความขัดแย้งและความยุ่งยากให้รัสเซียมากขึ้น

รัสเซียมารอดพ้นจากวิกฤติเลวร้ายทั้งหลายเมื่อปูตินเข้ามาบริหารประเทศ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร พรุ่งนี้มาว่ากันต่อครับ.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com