ค่าเงินหยวนในตลาดต่างประเทศร่วงลงสู่ระดับที่อ่อนแอที่สุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลกในปี 2011 ท่ามกลางค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น
เงินหยวนในประเทศอ่อนค่าลง 0.2% มาอยู่ที่ 7.1955 หยวนต่อดอลลาร์ ซึ่งอ่อนค่าที่สุดในรอบ 14 ปี ขณะที่เงินหยวนในต่างประเทศร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในข้อมูลย้อนหลังไปถึงปี 2553 ทั้งนี้เป็นสัญญาณว่าจีนอาจผ่อนคลายการสนับสนุนค่าเงินท่ามกลางค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนโลกที่ลดลง
ขณะที่ค่าเงินหยวนในประเทศร่วงลงมากกว่า 4% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในเดือนนี้ และมีแนวโน้มว่าจะขาดทุนประจำปีที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลกเมื่อปี 2008
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่เงินดอลลาร์ยังคงมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญอื่นๆ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
สกุลเงินหยวนอยู่ภายใต้แรงกดดันเนื่องจากนโยบายการเงินของประเทศกับสหรัฐฯ เนื่องจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งรวมถึงนายเจมส์ บุลลาร์ด หัวหน้าเฟดประจำเมืองเซนต์หลุยส์ ได้ผลักดันให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ เพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพเงินเฟ้อ ในทางกลับกันจีนยังคงท่าทีที่ผ่อนคลายท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะเงินฝืด เนื่องจากอุปสงค์ที่ลดลงภายใต้วิกฤติด้านทรัพย์สินที่กำลังดำเนินอยู่และข้อจำกัดของโควิด-19
ขณะเดียวกัน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลักทั่วเอเชียได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่น ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกง และดัชนีคอสปิของเกาหลีใต้ ต่างปรับตัวลดลงมากกว่าร้อยละ 2 ในการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้
ในขณะที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังคงกำหนดค่ากลางเงินหยวนแข็งค่ากว่าที่ตลาดคาดต่อเนื่อง ท่ามกลางแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า และความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่อยู่ในช่วงขาลง สืบเนื่องจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์ และวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ หลังการผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีน
...
นักลงทุนหลายรายมองว่า เงินดอลลาร์มีความปลอดภัยมากพอที่จะลงทุนในช่วงที่เกิดปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งนั่นช่วยส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งรวมถึงเงินปอนด์ของอังกฤษ ซึ่งอ่อนค่าลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันจันทร์
ที่มา บีบีซี, The Wall Street Journal