ท่ามกลางบรรยากาศ “ความปกติ” กำลังจะกลับคืนมา จากกรณีโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นในเดือน ต.ค.นี้ จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลแต่ละประเทศจะต้องคว้าโอกาสทองนี้ไว้

ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบทวิภาคีหรือจัดเป็น “แพ็กเกจ” เจรจาในระดับพหุภาคีก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมทั้งสิ้น เพราะกระแสทิศทางในเวทีโลกเริ่มชัดเจนมากขึ้นว่า พร้อมที่จะ “เดินหน้า” กันอย่างเต็มกำลัง

แน่นอนว่า การเดินหน้าครั้งนี้ย่อมมาพร้อมกับอุปสรรคจากปัญหา “การเมือง” เพราะสภาพการณ์ ณ เพลานี้เห็นได้ว่าเกิดการแบ่งขั้ว โดยเฉพาะขั้วตะวันตก-ตะวันออก “สหรัฐฯ-ยุโรป” กับ “จีน-รัสเซีย” จนถูกเรียกว่าเป็นสงครามเย็นภาค 2 ไม่ต่างกับช่วงสามทศวรรษก่อน

แต่ในวิกฤติก็ย่อมมีโอกาส เพราะยังมีบางประเทศที่เปิดช่องให้ “คู่เจรจา” ไม่ต้องเลือกข้าง เลือกฝ่ายมากนัก อาทิ “อินเดีย” ที่มีการแตะทุกฝ่าย จับมือตะวันตก หารือตะวันออก เช่นเดียวกับภูมิภาคอาเซียนที่อินเดียวางนโยบาย “แอ็ก อีสต์”(ลุยตะวันออก) พัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ไว้เมื่อปี 2557

จากข้อมูลกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปอินเดียคือ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ และอัญมณีและเครื่องประดับ และนำเข้าคือ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 14,940 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 357,840 ล้านบาท โดยที่ไทยส่งออกมากกว่านำเข้า

อย่างไรก็ตาม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีพาณิชย์ ที่เข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-อินเดีย ที่เสียมราฐ กัมพูชา ระบุว่า ปัญหาที่เล็งเห็นคือภาคเอกชนยัง “ใช้สิทธิประโยชน์” ที่อาเซียนอินเดียลดภาษีนำเข้าสินค้า 0% จาก 73% ของรายการสินค้าทั้งหมดค่อนข้างต่ำ เนื่องด้วย “กฎถิ่นกำเนิดสินค้า” หรือการตัดสินว่าสินค้าแต่ละชนิดมีสัญชาติใด เพื่อให้มั่นใจว่า “ประโยชน์ ที่ได้รับจากการให้สิทธิพิเศษ จะตกอยู่กับสินค้าที่เป็นผลผลิตที่แท้จริงของประเทศที่ได้รับสิทธิ” แต่มองด้วยว่า หลังจากนี้จะเป็นโอกาสที่จะได้ทบทวนกฎถิ่นกำเนิดสินค้าให้สอดคล้องกับโครงสร้างการผลิตของอาเซียนและไทยให้เปิดกว้างมากขึ้น

...

เป็นที่น่าจับตาว่าการเจรจาจะไปต่อในทิศทางใด แต่ส่วนตัวก็หวังว่าอินเดียจะมีการตอบสนองในเชิงบวกทั้งในระดับทวิภาคี และแพ็กอาเซียน เนื่องในโอกาสฉลอง 30 ปี การเจรจาความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย ซึ่งอินเดียก็ระบุด้วยว่า ปี 2565 นี้ถือเป็นปีแห่งฉันมิตรของอาเซียน-อินเดียอีกด้วย.

ตุ๊ ปากเกร็ด