• โควิดกลายพันธุ์โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 กลายเป็นเชื้อหลักที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลกในเวลานี้ ซึ่งการติดเชื้อง่ายขึ้นและหลบภูมิวัคซีนได้ดีขึ้น ทำให้การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจำเป็นตามไปด้วย
  • คนจำนวนมากอาจจะรู้สึกลังเลที่จะฉีดวัคซีนที่มีอยู่ เพราะขณะนี้หลายบริษัทกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ที่จะรับมือกับเชื้อกลายพันธุ์ได้ดีขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าวัคซีนที่มีอยู่เดิม และพร้อมฉีดแม้ประสิทธิภาพจะลดลงบ้าง แต่ก็ยังสามารถช่วยลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ จึงไม่ควรที่จะรอเวลาในขณะที่ภูมิคุ้มกันจากการรับวัคซีนเดิมลดลงเรื่อยๆ

หลายคนอาจจะลังเล และยังคงรีรอที่จะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่ม เพราะหวังว่าจะมีวัคซีนตัวใหม่ที่กำลังพัฒนามารับมือกับเชื้อกลายพันธุ์ล่าสุด แต่ล่าสุดผู้เชี่ยวชาญต่างชี้ตรงกันว่า การฉีดเข็มกระตุ้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับกลุ่มเสี่ยง และควรจะฉีดวัคซีนที่มีไปก่อน เพราะการรอวัคซีนที่พัฒนาใหม่อาจจะไม่ทันการณ์ ในขณะที่ภูมิคุ้มกันที่มีอาจจะเริ่มลดลง

ในสหรัฐอเมริกา วัคซีนกลายพันธุ์โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 นับเป็นสายพันธุ์หลักที่พบมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐฯ และดูเหมือนว่าทุกคนมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อตัวนี้ได้ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว หรือคนที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อนหน้านี้ เนื่องจากไวรัสตัวนี้มีการกลายพันธุ์จนเกิดความแตกต่างกับเชื้อเดิมๆ ที่เคยพบ ไม่ว่าจะเป็น อัลฟา เบตา แกมมา หรือเดลตา และแม้กระทั่งเชื้อโอมิครอนตัวเดิมด้วย ดังนั้นวัคซีนที่ทุกคนได้รับไปแล้วจะมีประสิทธิภาพลดลงในการที่จะรับมือกับเชื้อ BA.5 ประกอบกับ ภูมิคุ้มกันที่ผู้คนสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเกิดจากการฉีดวัคซีน หรือติดเชื้อเองก็ตาม หากผ่านเวลาไปนานหลายเดือน ภูมิคุ้มกันก็จะลดลงตามธรรมชาติ ทำให้หลายคนเริ่มมีข้อสงสัยว่า พวกเขาควรที่จะรับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 2 หรือวัคซีนเข็มที่ 4 ในตอนนี้เลย หรือพวกเขาควรจะรอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงหรือช่วงเดือนกันยายนเป็นต้นไป เมื่อมีวัคซีนที่พัฒนาใหม่ออกมา

...

ใครควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น?

ในเวลานี้องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ หรือ CDC ต่างแนะนำไปในทางเดียวกันให้เด็กอายุ 5 ขวบขึ้นไปที่รับวัคซีนต้านโควิดครบโดสไปแล้วนานกว่า 5 เดือน ให้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มแรก หรือวัคซีนเข็มที่ 3 ได้แล้ว ส่วนประชาชนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 2 หรือวัคซีนเข็มที่ 4 ได้แล้ว หากพวกเขาได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มแรกนานอย่างน้อย 4 เดือนแล้ว โดยเป็นการแนะนำอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มที่มีโรคประจำตัว หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

ขณะเดียวกันหน่วยงานสาธารณสุขสหรัฐฯ กำลังพิจารณา ที่จะขยายขอบเขตของผู้ที่ควรได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 2 ให้ครอบคลุมกลุ่มประชากรผู้ใหญ่ทั้งหมด แต่ทั้ง FDA และ CDC ก็ยังคงอยู่ระหว่างพิจารณาข้อมูลก่อนที่จะมีข้อสรุปต่อไป

ควรจะรอวัคซีนที่พัฒนาใหม่สำหรับโอมิครอนจนถึงฤดูใบไม้ร่วงหรือไม่?

ย้อนไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ทาง FDA เคยลงมติว่า การที่จะรับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มต่อไป จะต้องเป็นวัคซีนที่มุ่งเป้าไปยังเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 โดยเฉพาะ เพราะการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะได้ช่วยป้องกันการติดเชื้อโอมิครอนได้ดียิ่งขึ้น และยังตั้งความหวังว่าวัคซีนตัวใหม่น่าจะสามารถคลุมระยะเวลาในการป้องกันโรคได้ยาวนานกว่าเดิมด้วย โดยเป็นการอ้างอิงข้อมูลจากเบื้องต้นจากสายพันธุ์ย่อย BA.1 ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ช่วงแรกๆ ของโอมิครอน ซึ่งทาง FDAได้แจ้งไปยังผู้ผลิตวัคซีนให้จัดเตรียมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มภูมิต่อเชื้อกลายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5. ในวัคซีนตัวใหม่ด้วย

อย่างไรก็ตาม จนกว่าที่วัคซีนที่พัฒนาแล้วจะพร้อมสำหรับประชาชน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงเดือนตุลาคม ตามการอ้างอิงของผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขของทำเนียบขาว ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่าควรกระตุ้นให้ประชาชนออกไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นในทันที หลังจากที่พบเคสติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.5 พุ่งสูงขึ้น

...

นายแพทย์แอนโทนี ฟาวซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อของสหรัฐอเมริกา และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า เชื้อกลายพันธุ์โอมิครอน BA.5 กำลังเป็นภัยคุกคามผู้คน โดยเฉพาะถ้ายังไม่ได้รับวัคซีนครบโดส หรือไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นตามคำแนะนำของหน่วยงานสาธารณสุข นั่นถือว่าคุณยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ตนเอง พร้อมย้ำว่า "การรับวัคซีนเข็มกระตุ้นตอนนี้ ไม่ได้ตัดโอกาสในการรับวัคซีนตัวใหม่ที่จะออกมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแต่อย่างใด เพราะถ้าความเสี่ยงมีอยู่ในเวลานี้ ก็ต้องให้ความสำคัญกับมันก่อน" ขณะเดียวกัน ดร.ฟาวซี ยังระบุด้วยว่า ภูมิคุ้มกันที่ได้จากการฉีดวัคซีนก่อนหน้านี้มีแต่ถดถอยลง นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนที่รับวัคซีนกระตุ้นไปแล้วก็ยังคงติดเชื้อ BA.5 ได้ แต่แน่นอนว่าคนที่รับวัคซีนกระตุ้นไปแล้วจะมีแนวโน้มว่าจะไม่ป่วยหนัก และอาการไม่รุนแรง

ด้าน ดร.โรเชล วาเลนสกี CDC แนะนำประชาชนที่แม้ว่าจะติดเชื้อไปแล้ว และคิดว่ามีภูมิในการปกป้องแล้ว ก็ควรที่จะปฏิบัติตามแนวทางการฉีดเข็มกระตุ้นตามที่ภาครัฐกำหนดเช่นกัน โดยคนที่รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 2 ในช่วงหน้าร้อนนี้ จะยังสามารถรับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่จะอัปเดตตัวใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือช่วงหน้าหนาวได้เช่นกัน เพราะต้องเว้นระยะห่างการฉีดประมาณ 3-4 เดือน และนี่คือเหตุผลที่หน่วยงานสาธารณสุขกระตุ้นให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ต้องไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพราะเห็นผลชัดเจนถึงประสิทธิภาพในการลดอัตราการเข้ารักษาพยาบาลและอัตราการเสียชีวิต รวมถึงยังสามารถลดการติดเชื้อได้ในระดับหนึ่งในบางเคส.

...

เป็นไปได้มั้ยที่จะมีวัคซีนกระตุ้นป้องกันทุกสายพันธุ์?

วิลเลียม ชาฟฟ์เนอร์ ศาสตราจารย์ด้านยารักษาโรคและโรคติดเชื้อ แห่งมหาวิทยาลัย แวนเดอร์บิลท์ รัฐเทนเนสซีระบุว่าในเวลานี้ ยังไม่มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาวัคซีนให้ป้องกันได้ทุกสายพันธุ์ เพราะเชื้อไวรัสมีการกลายพันธุ์รวดเร็วมาก อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่คาดว่า วัคซีนต้านโควิด-19 เข็มกระตุ้น ในที่สุดก็จะกลายเป็นการฉีดวัคซีนประจำปี เหมือนกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยจะมีการอัปเดตเชื้อกันปีต่อปี เพื่อการป้องกันที่ดีที่สุด แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม โดยขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังเร่งพัฒนาวัคซีนที่จะเป็นวัคซีนที่ต้องฉีดเป็นประจำทุกปีต่อไป แต่อาจจะใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือมากกว่านั้นที่จะทำให้สำเร็จ

ผู้เขียน : อาจุมมาโอปอล