เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ที่การเจรจาการค้าระหว่างประเทศส่วนใหญ่ ต้องหยุดชะงักลงด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19
จึงแอบรู้สึกดีใจที่สัปดาห์ก่อน มีรายงานว่านายเหวียน ห่ง เยียน รมว.อุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม ชาติเพื่อนบ้านอาเซียน เดินทางมาเจรจากับเรา หารือกับผู้ใหญ่กระทรวงพาณิชย์
และกรมการค้าระหว่างประเทศ โดยมีเป้าหมายร่วมกันว่า ในปี 2568 ไทยและเวียดนาม จะมีมูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มเป็น 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 850,000 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ราว 20,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 680,000 ล้านบาท
แม้เป็นการเจรจาที่ยังไม่มีการเคาะดีล ต้องมีการนัดหารือกันหลายระดับต่อไป แต่ก็ถือเป็นสัญญาณของความปกติที่เริ่มกลับมา อีกทั้งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ไทยและกลุ่มประเทศ CLMV ต่างก็เผชิญปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการส่งออกที่ถดถอย เนื่องด้วยปัญหาต่างๆที่เป็นผลพวงจากไวรัสมรณะ
ทั้งนี้ รัฐมนตรีเวียดนามสะกิดมาในหลาย ประเด็น สิ่งแรกคือดุลการค้า เนื่องจากเวียดนามขาดดุลการค้ากับไทยมาก (เราขายของให้เวียดนามเยอะกว่านำเข้า) ซึ่งการเช็กข้อมูลกรมการค้าระหว่างประเทศเรื่องการค้าขายกับเวียดนาม ไทยมีตัวเลขเขียวเข้ม บวกอยู่กว่า 6,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 204,000 ล้านบาท
เรื่องต่อมาอยากให้ไทย เร่งกระบวนการออกใบอนุญาตนำเข้าผลไม้ 5 อย่างคือ ส้มโอ น้อยหน่า เสาวรส ลูกน้ำนม และเงาะ (ให้เวียดนามส่งออกมาไทย) พร้อมขอให้ไทยช่วยสนับสนุนงานจัดแสดงสินค้าของเวียดนาม ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆของไทย
และที่สำคัญ เวียดนามขอให้ไทยช่วยลดขั้นตอน ลดกระบวนการความยุ่งยากของการตรวจสอบสินค้าท่าเรือ และลดเวลากระบวน การตรวจสอบเอกสาร ซึ่งประเด็นนี้จำได้ว่า ชาติตะวันตกโดยเฉพาะกลุ่มสหภาพยุโรปก็เคยเรียกร้องเราเหมือนกัน ว่าควรจะเพิ่มความเร็ว ลดขั้นระเบียบราชการ (Red Tape)
...
โดยในประเด็นแรก ฝ่ายไทยได้ย้ำว่าพร้อมช่วยสนับสนุน และไทยนำเข้าสินค้าเวียดนามเป็นบวก 27 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เรื่องผลไม้ไว้เจรจากันต่อภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ (MoU) งานจัดแสดงสินค้าเวียดนามพร้อมดำเนินการเพิ่มเติม ส่วนกระบวนการลดความยุ่งยากจะประสาน เพื่อปรับปรุงและอำนวยความสะดวก
ในการประชุมครั้งนี้ ไทยยังได้เสนอประเด็นกลับไปทางเวียดนามเช่นกัน ซึ่งดูแล้วมีหลายอย่างที่น่าสนใจ และอาจเป็นโอกาสดีสำหรับคนไทย แต่ขอไว้ว่ากันต่อพรุ่งนี้ครับ.
ตุ๊ ปากเกร็ด