ตำรวจศรีลังกาประกาศใช้เคอร์ฟิว และยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุม หลังการประท้วงมาตรการตัดไฟฟ้าของภาครัฐลุกลามบานปลายจนกลายเป็นเหตุรุนแรง
การชุมนุมประท้วงวิกฤติพลังงานของชาวศรีลังกาที่เริ่มจากการประท้วงอย่างสันติ เริ่มลุกลามบานปลายกลายเป็นเหตุรุนแรง หลังผู้ชุมนุมพยายามที่จะฝ่าแนวกั้นบริเวณด้านหน้าบ้านพักของประธานาธิบดี และมีการจุดไฟเผารถประจำทาง ทำให้ตำรวจประกาศเคอร์ฟิว และยิงแก๊สน้ำตาเพื่อเข้าสลายการชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมตอบโต้ด้วยการขว้างปาก้อนหินใส่เจ้าหน้าที่ ซึ่งเหตุการณ์ปะทะในครั้งนี้มีรายงานผู้บาดเจ็บสาหัส 1 ราย และมีผู้ประท้วงถูกควบคุมตัวไปจำนวนหนึ่ง
ด้านประธานาธิบดี โกตาบายา ราชปักษา ของศรีลังการะบุว่า เหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้เป็นพฤติการณ์การก่อการร้าย โดยในขณะเกิดเหตุประธานาธิบดีไม่ได้อยู่ในบ้านพักแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ศรีลังกากำลังเผชิญวิกฤติพลังงานอย่างหนัก จนภาครัฐต้องประกาศมาตรการดับไฟกว่า 13 ชั่วโมงในแต่ละวัน ประกอบกับภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเกิดจากการขาดสกุลเงินต่างประเทศอย่างเฉียบพลันเพื่อนำเข้าน้ำมันดีเซลซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับรถประจำทางและรถเพื่อการพาณิชย์ ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะพังทลาย นอกจากนี้ประชาชนยังเผชิญปัญหาขาดแคลนอาหารที่จำเป็น และยารักษาโรค สร้างความเดือดร้อนเป็นวงกว้างแก่ประชาชน จนผู้คนที่ไม่พอใจเริ่มออกมาเดินขบวนประท้วงความล้มเหลวของรัฐบาลในการแก้ปัญหา
...
ขณะเดียวกันยังมีประเด็นเรื่องการคอร์รัปชันของคนใกล้ชิดประธานาธิบดี ที่ได้รับการยกเว้นจากมาตรการตัดไฟ จนนำไปสู่การประท้วงเรียกร้องให้ประธานาธิบดีลาออก ซึ่งถึงแม้รัฐบาลพยายามกล่าวโทษวิกฤติครั้งนี้ว่าเกิดจากผลกระทบของโรคระบาดที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ แต่นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่าสาเหตุหลักของปัญหา เกิดการจัดการที่ผิดพลาดของรัฐบาล ซึ่งรวมถึงการลดภาษีและการขาดดุลงบประมาณสะสมมานานหลายปี.
ที่มา : บีบีซี