สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้ากรณีที่นักแสดงชื่อดังวิล สมิธ ลุกขึ้นไปตบหน้าคริส ร็อก กลางเวทีประกาศรางวัลออสการ์ เมื่อคืนวันที่ 28 มี.ค. จนเป็นข่าวดังช็อกวงการบันเทิงโลก ก่อนเจ้าตัวคว้ารางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมด้วยน้ำตานองหน้า
วิล สมิธ เจ้าของรางวัลออสการ์นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมได้แถลงขอโทษ คริส ร็อก อย่างเป็นทางการเมื่อ 29 มี.ค. หลังนักแสดงตลกล้ำเส้นเอ่ยปากล้อเลียนทรงผมสกินเฮดของเจดา พิงค์เก็ตต์ สมิธ ภรรยาของวิล สมิธ ที่ป่วยด้วยโรคผมร่วงเป็นหย่อม จนสมิธกลั้น อารมณ์ไม่อยู่ ฉุนขาดปราดขึ้นไปตบดาวตลกดังจนหน้าหัน ช็อกผู้อยู่ในงานและผู้ชมทางบ้านทั่วโลก โดยสมิธกล่าวขอโทษคริส ระบุว่าการกระทำของตนเป็นสิ่งที่ยอมรับและให้อภัยไม่ได้ ตนยอมรับผิดและอับอายกับการกระทำนี้ ย้ำว่าไม่ควรมีพื้นที่สำหรับความรุนแรงบนโลก พร้อมขอโทษออสการ์ โปรดิวเซอร์ ผู้ร่วมงาน คนดูทางบ้านทั่วโลกทุกคน รวมถึงครอบครัววิลเลียมส์ ที่ทำให้ทุกคนต้องแปดเปื้อน ขณะที่เผยว่าการล้อเล่นถึงอาการป่วยของภรรยานั้นเป็นสิ่งที่เกินจะทนไหว
ในช่วงเวลาเดียวกันมีคำขอโทษที่อ้างว่ามาจากคริส ร็อก ต่อครอบครัวของวิล สมิธ แต่ต่อมาทีมงานของร็อกเผยว่าโพสต์ดังกล่าวไม่ได้มาจาก คริส ร็อก ขณะที่เดอะ ฮอลลีวูด รีพอร์เทอร์ ยืนยันว่าในช่วงเวลานั้น คริส ร็อก ไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆ ซึ่งก่อนหน้านั้น พี ดิดดี แรปเปอร์/โปรดิวเซอร์ชื่อดังให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าทั้ง 2 เคลียร์ใจกันเรียบร้อยที่งานเลี้ยงหลังงานแจกรางวัลออสการ์ ขณะที่ทีเอ็มซีเผยว่าทั้ง 2 ยังไม่ได้พูดคุยกันนับแต่เหตุตบลือลั่น ขณะที่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ วีคลี ยังรายงานว่ามุกตลกล้อ ทรงผมของเจดานั้นเป็นมุกสด ไม่มีอยู่ในสคริปต์
ทั้งนี้ มีรายงานว่าคริส ร็อก เคยพูดตลกล้อเลียนเจดาบนเวทีออสการ์เมื่อปี 2559 มาก่อนแล้ว โดยพูดถึงการบอยคอตของเจดาและสามีในประเด็นที่ออสการ์ขาดความหลากหลายทางสีผิว หรือ #OscarsSo White ที่ระบุว่ามีแต่นักแสดงหรือผู้เข้าชิงรางวัลผิวขาว โดยคริส ร็อกกล่าวหาว่าเจดาคว่ำบาตรออสการ์ เพราะโกรธที่วิล สมิธ ไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากภาพยนตร์เรื่อง “คอนคัสชั่น” ขณะที่เจค พอล โปรโมเตอร์มวยยังเสนอเงินให้วิล สมิธและคริส ร็อกคนละ 15 ล้านดอลลาร์เพื่อขึ้นชกบนสังเวียนยุติเรื่องบาดหมางแบบตัวต่อตัวอีกด้วย
...
ขณะที่นีลเส็น บริษัทวิจัยการตลาดชื่อดังยังเผยตัวเลขผู้ชมการถ่ายทอดสดงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 94 ประจำปี 2565 ที่ถ่ายทอดสดตั้งแต่เวลา 20.00-23.40 น. สามารถดึงดูดผู้ชมได้สูงถึง 15.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งเป็นปีที่มีผู้ชมต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 10.4 ล้านคน ราว 56 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงเป็นงานออสการ์ที่มียอดผู้ชมต่ำสุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ แม้ว่าการจัดงานในปีนี้เริ่มกลับสู่บรรยากาศเดิมอีกครั้ง การจัดงานโดยรวมลื่นไหลเป็นไปด้วยดี หลังจากการแพร่ระบาดอย่างหนักของโควิดเริ่มคลี่คลาย.